เกิดเป็นเด็กหัวกะทิทั้งที  ไม่ได้มีแต่เสียงชื่นชม แต่พอพลั้งพลาดก็โดนเหยียบซ้ำหนัก ๆ

....ชายคนหนึ่งมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความเข้าใจ เพราะเคยโดน “ความเป็นที่ หวดซ้ำมาหลายครั้งต่อหลายครั้ง จนทุกวันนี้เลือกใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบในชายผ้าเหลือง

  

 

         นายกรกฎ เชาววะวนิช >>>>>>  ครูบาป้อง

 

 

ครูบาป้อง สวนสันติธรรม อำเภอศรีราชา

 

ชายคนหนึ่งมองปรากฏการณ์ “ เผาโรงเรียน ” อย่างเข้าใจเพราะเคยโดนความเป็นที่ 1 หวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า  วันนี้ เขาจึงเลือกใช้ชีวิตอย่างสงบในผ้าเหลือง

       การที่เด็กวัยรุนคนหนึ่งจะลุกขึ้นมาวางแผนและเผาโรงเรียนนั้น สำหรับเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องร่วมสถาบัน มันอาจเป็นการกระทำที่เต็มไปด้วยคำว่า ทำไม , สำหรับสังคมและคนอื่นๆ มันคือ ความเครียด กดดัน ที่เกิดจากระบบการเรียนการสอนสำหรับเด็กหัวกะทิ และสำหรับพ่อแม่ คือ การย้อนกลับไปถามตัวเองว่า ยังอยากจะให้ลูกเรียนเก่งอยู่หรือเปล่า .........

เราคงไม่ กล้าไปสรุปหรือหาคำตอบใดๆ ในเรื่องนี้ หากมี "พระ” อยู่รูปหนึ่ง ที่หลายปีก่อน เคยสอบเอนทรานซ์ คะแนนเป็นอันดับ 1 ของประเทศ  ได้ 2 เหรียญทองแดงจากการแข่งขันคณิตศาสตร์ โอลิมปิค เป็นวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 1 จากรั้วจามจุรี และได้ทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ก่อนจะกลับมาทำงาน และตัดสินใจ ก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ จนเข้าปีที่ 4 ปีนี้ และยังไม่มีโครงการลาสิกขาในอนาคตอันใกล้

 

หลังจากรับรู้ข่าวไม่ค่อยสู้ดี อดีตนักเรียนห้อง king ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษารูปนี้ บอกว่า เหมือนกลับไปเห็นตัวเอง สมัยก่อน และบอกสั้นๆ ว่า  "อาตมาเข้าใจ อาตมาเองก็เคยเป็นแบบนี้"

       ตลอดการสนทนา ครูบาป้อง สวนสันติธรรม อำเภอศรีราชา หรือ นายกรกฎ เชาววะวนิช ในอดีต เจ้าของคะแนนเอนทรานซ์ สูงสุด ปี 2537 ไม่เคยบอกว่าตัวเองโชคดี ที่ผ่านความเครียดเหล่านี้มาได้ แต่ความเครียดที่พัดเข้ามาหาหลาย

ระลอกต่างหาก ที่ช่วยสร้างภูมิต้านทานให้ผ่านช่วงวิกฤติ โดยเฉพาะทุกข์ครั้งสาหัสที่สุด ที่ฉุดตัวเองให้พ้นจากหลุมดำมาได้

 

ตำรา A ความสัมพันธ์  F

ประวัติการเรียนของ ด..กรกฎ ดีเด่นมาตลอด ตั้งแต่มัธยม1 และ 2 ที่โรงเรียนจิตรลดา จากนั้นสอบเทียบข้าม ม.3 มาอยู่ห้อง คิง แผนกวิทย์ –คอมพิวเตอร์  โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

 

แต่ความเครียดก็ก่อเค้ามาตั้งแต่ ม.2 ด้วยซ้ำ...

 

"ตอนนั้นทำตัวเพี้ยนๆ กับเพื่อนที่เป็นเด็กเรียน เขาชอบอ่านสามก๊ก ก็เอามุขตลกสามก๊กมาเล่น  ซึ่งมันเกินวัย คนอื่นไม่ เข้าใจ เป็นตลกเชิงวิชาการ เป็นมุขเด็กเรียน เราขำกับเพื่อนอยู่ไม่กี่คน เพื่อนคนอื่นก็คิดว่าเราบ้า  หลายคนไม่ชอบเรา แกล้งล้อ พูดจาไม่ดีด้วย แต่ไม่ถึงกับทำร้ายร่างกาย " เพียงเท่านี้ก็ทำให้ ด..กรกฎเริ่มเครียดขึ้นมา พ่อแม่เองก็ไม่รู้เพราะลูกชายไม่ได้เล่า

 

แต่อาการขณะนั้นยังไม่มาก เพราะยังมีเพื่อนแบบเดียวกันให้คบ ซึ่งแต่ละคนนิสัยจะคล้ายๆ กันคือ จิตใจและอารมณ์ ไม่ค่อยเข็มแข็ง มีปัญหาด้านการสื่อสาร และความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ แต่เรียนเก่ง

 

ดีกรีความเครียดมาเพิ่มมากขึ้น เมื่อย้ายมาเป็นน้องใหม่ในรั้วเตรียมอุดมฯ แวดล้อมไปด้วยเพื่อนๆ ที่เก่งพอฟัดพอเหวี่ยงกันแถมอายุมากกว่าเพราะ เด็กชายจากจิตรลดามาแบบสอบเทียบข้าม ม.3

 

"สมัยก่อนเพื่อนๆ ยังพึ่งเรา แกล้งกันยังไงก็ยังต้องพึ่งเราเพราะเราเก่ง แต่ที่เตรียมฯ ทุกคนเก่งถ้วนหน้า เลยไม่มีจุดเชื่อม ระหว่างกับเรา กับเพื่อนๆ ที่ไม่เก่ง มนุษย์สัมพันธ์ ไม่เกิด ไม่มีใครต้องพึ่งพาเรา" ครูบาป้อง เสริมอีกด้วยว่า เด็กยิ่งไม่มีทักษะทางอารมณ์  ก็ไม่สามารถหาเพื่อนใหม่ได้

 

สำหรับเด็กสอบเทียบอย่างเขา นอกจากจะเจอแต่เพื่อนเก่งๆ แล้ว ความที่เรียนมัธยมต้นแค่ 2 ปี  จึงมีหลายวิชาที่ตามไม่ทัน หรือบางวิชาก็ไม่ได้เรียนมาก่อน  แต่อาศัยว่าในห้องมีเพื่อนที่สอบเทียบมาอีก 2 คน กลุ่มนายกรกฎก็เลยคบกันอยู่แค่นี้

 

การแกล้ง ล้อเลียน ไม่เป็นปัญหาในหมู่เด็กโตชั้นมัธยมปลาย แต่เรื่องน่าหนักใจกลับไปตกอยู่ที่ " ความสัมพันธ์ "

 

" ปัญหามันอยู่ที่ตัวเรา เราแสดงออกกับคนอื่นไม่ดี คิดอย่างไร ทำอย่างนั้น ไม่ค่อยคิดถึงคนอื่น อยากทำอะไรก็ทำ อาจจะติดจากสมัยเด็กๆ เพื่อนต้องเกรงใจเพราะเราเก่ง หลายคนมองเราไม่ดี ไม่คุยกับเรา ต่อต้านเรา  กับอาจารย์เองก็เคย ครั้งหนึ่งเขาสอนข้ามไปข้ามมา เราก็ยกมือแย้งถึง 2 รอบ บอกว่าทำไมอาจารย์ ไม่สอนบทนั้น บทนี้ จนอาจารย์เสียใจ เดิน

ออกจากห้อง เพื่อนๆ  ต้องพาเราเอาพวงมาลัยไปขอโทษ ซึ่งตอนนั้นเราก็รู้สึกผิด และรู้ว่าตัวเองมีปัญหาเรื่อง ความสัมพันธ์จริงๆ"

 

ความตระหนักรู้มาเพิ่มขึ้นเมื่อตอนปิดภาคเรียนฤดูร้อนก่อนขึ้นม.5 กรกฎได้ไปบวชเรียน กับท่านปัญญานันทะ วัดชลประทานรังสฤษฎ์ เด็กหนุ่มใช้เวลาศึกษาธรรมมะ สุภาษิตบทสั้นๆ ที่กล่อมเกลาให้นึกถึง เห็นใจคนอื่น อ่อนน้อม

“เปิดเทอมใหม่เพื่อนบอกว่าเรานิสัยดีขึ้นเยอะ ปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อนหายไปเยอะเลย” ความเปลี่ยนแปลงหลังจากนั้น

 

แต่เรื่องความเครียดในการเรียน ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะหลังการสอบแต่ละครั้ง จะมีทั้งความตื่นเต้นกดดัน

 

จะไม่ให้เครียดได้อย่างไร เพราะตั้งแต่ ม.4 กรกฎก็อัดเรียนพิเศษเต็มวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ เพื่อเรียนเนื้อหา ม.5 ม. 6 ล่วงหน้า แล้วพอขึ้นมา ม.5 คอร์สนอกห้องเรียนยิ่งเข็มข้นขึ้น

 

“เสาร์ – อาทิตย์ เรียนประมาณ 11 ชั่วโมง เน้นวิชาเอนท์หนักๆ 3-4 วิชา เหนื่อยมาก”

 

ติดบ่วงโอลิมปิค

 

ระหว่างที่ยังศึกษาอยู่ชั้น ม.5 กรกฎได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปสอบคณิตศาสตร์ โอลิมปิค ที่ประเทศตุรกี ซึ่งก็ไม่เป็นเรื่องแปลกเท่าไหร่  เพราะในห้องเดียวกัน มีเพื่อน ๆ ร่วมไปแข่งโอลิมปิควิชาการถึง 19 คน

 

แล้วกรกฎกับเพื่อน ก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการคว้าเหรียญทองแดงกลับมา

 

“ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองเก่ง ฉลาดมาก คนให้การต้อนรับยกย้องเยอะ” ครูบาป้อง ย้อนวัยกลับไปดูสภาวะจิตใจตัวเอง และนั่นก็เป็น " ทุกข์ก้อนที่ 2 ของอาตมา..."  เพราะสำเร็จมาตลอด เจ้าของเหรียญทองแดงโอลิมปิคจึงบอกกับตัวเองว่า จะต้องสำเร็จยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนความผิดพลาดจะเรียนรู้จากประสบการณ์คนอื่น

 

แต่ความผิดพลาดก็มาเยือนเร็วกว่าที่คิด ช่วงสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวง หรือ "ทุนคิง" ในภาษาเด็กเตรียมฯ กรกฎไม่พลาดและไปพร้อมกับความมั่นใจเต็มร้อย

ปรากฎว่าเขาผ่านรอบสอบข้อเขียน 10 คนสุดท้าย แต่กลับไปตกในช่วงสอบสัมภาษณ์  5 คน

 

"เราก็รู้สึก อาย เครียด" ตามมาติดๆ ด้วยการเป็นตัวแทนไปแข่งขันคณิตศาสตร์ โอลิมปิค ปีที่ 2 ผลก็คือ คะแนนไปอยู่ในช่วงตรงกลางค้อนไปทางครึ่งหลัง เลยชวดเหรียญทองแดงไป

 

"ทั้งอาย ทั้งทุกข์  กลุ้มใจ " แต่  2 สัปดาห์  ต่อมา เจ้าภาพครั้งนั้นคือ ฮ้องกง มีการเลื่อนเกณฑ์ ลงมาเพื่อเอื้อให้ตัวแทนจากประเทศตัวเอง อานิสงส์ตกถึงกรกฎ เหรียญทองแดงที่ตอนแรกพลาด ก็ได้มาคล้องคอจนได้

 

ความทุกข์ที่กัดกินใจอยู่หลายวัน แล้วจู่ๆ ก็พลิกผันกลับมาสมหวัง ทำให้กรกฎเริ่ม

เห็นว่า "ความล้มเหลวเกิดขึ้นได้ตลอด"

"ถ้าไม่เคยได้เหรียญมาก่อนก็ไม่กดดัน ความสำเร็จสร้างความทุกข์ให้เรา จากความยึดมั่น ถือมั่น" เขาเริ่มเข้าใจบ้างแล้วว่า ความทุกข์ ต้องมีเข้ามาเรื่อยๆ แต่ถ้ารู้จักทำใจยอมรับความล้มเหลวได้ ก็จะไม่เป็นอะไร

ขนาดว่าเริ่มคิดได้ แต่เมื่อ "ทุกข์ก้อนหนักที่สุด" แวะเข้ามา เขาก็แทบจะล้มทั้งยืนเมื่อเรียนจบปริญญาตรีที่คณะวิศวกรรมศาสตร์  จุฬาฯ เขาคว้าทุนไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ เรื่องเรียน เรื่องวิชาการไม่_เป็นปัญหาเท่าไหร่ แต่พอมาเจอ "ธีซิส" ก่อนจบ ที่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ ก็ไม่ผ่านสักที นักศึกษาหนุ่มท้อมาก จนเคยคิดว่า ถ้าหลับไป แล้วพรุ่งนี้ไม่ต้องตื่นมาอีกเลย...ก็คงดี

"เพราะไม่อยากเจอความทุกข์ อย่างนี้" สภาพจิตใจที่อ่อนแอตอนนั้น ทำให้กรกฎตัดสินใจโทรหาพ่อแม่ที่เมืองไทย บอกว่า ถ้าเรียนไม่จบ จะเป็นอะไรไหม คนฟังอีกซีกโลกก็ตกใจ แต่หลังจากนั้น คนเป็นพ่อลงทุนลางานมาอยู่เป็นเพื่อน 2 เดือน มาดูแลทำกับข้าวให้ คอยเป็นกำลังใจ จนจบปริญญาโทมาได้อย่างเฉียดฉิว

 

"สุดท้าย คนที่เราพึ่งได้ก็คือคนที่รักเราที่สุด คือ พ่อกับแม่ หรือ เพื่อนดีๆ เราก็พึ่งได้" ซึ่งตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนนักเรียนไทยอาศัยอยู่คนเดียว คิดคนเดียว ทำคนเดียว ไม่มีใครให้คำปรึกษา เวลาทุกข์ จึงยิ่งดิ่งลึก

สิ่งหนึ่งที่ครูบาป้องตั้งข้อสังเกต โดยอิงจากประสบการณ์ที่ผ่านมา คือ เมื่อความผิดพลาดหรือความทุกข์ เกิดขึ้นแล้ว จะมีการแสดงออก 2 อย่างคือ คิดว่าตัวเองผิด ก็จะแสดงออกผ่านทางการฆ่าตัวตาย ทำร้ายตัวเอง กับอีกอย่างคือ คิดว่าเป็นความผิดของคนอื่น ก็จะระบายออกอย่างโกรธแค้น ยกตัวอย่างเช่น กราดยิงเพื่อน (ในสหรัฐอเมริกา) ทำร้ายหรือ ทำลายสถานที่ด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งไม่ว่าแบบไหนก็เป็นความรุนแรง ......................................

"คนภายนอกมองว่าอาตมาเก่ง ไม่เคยรู้ว่าอาตมาก็เคยทุกข์  เคยล้มเหลว" ครูบาป้อง กำลังจะบอกว่า ไม่ได้มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่เจอปัญหา "คนเราก็มองแต่ภายนอก จะมีใครไหมที่ทุกข์แล้วเอามาเล่าให้คนอื่นฟัง"

อาจฟังดูยากแต่อดีตนักเรียนทุนในผ้าเหลืองรูปนี้ อยากให้ใครก็ตามที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เข้าใจธรรมชาติของปัญหา ว่า มันอาจจะรุนแรงแค่เฉพาะหนhา แต่พอเวลาผ่าน จะค่อยๆ ทุเลา จนเราเองก็อาจจะลืม "มีชาดกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวที่พระราชาสั่งให้คนคิดทำแหวน ที่ใส่แล้วฉลาด เข้าใจโลก รู้ทุกเรื่อง ช่างคนหนึ่งเลือกเขียนไว้บนตัวแหวนว่า 'เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ' ฉะนั้นไม่ว่าสุขหรือทุกข์  ถ้าอดทน เราก็แข็งแรงได้ "

 

ทุกวันนี้ ครูบาป้อง ยังพากเพียรตั้งใจศึกษาธรรมะต่อไป เนื้อหาอาจไม่ได้แบ่งเป็นรายวิชาอย่างทางโลก แต่ทางธรรม มุ่งศึกษาว่าร่างกายและจิตใจทำงานอย่างไร หาสาเหตุแห่งทุกข์ หรือสมุทัย เพื่อพาจิตใจให้อิสระจากทุกข์  แล้วนำเอาสิ่งที่ศึกษาไปให้ คำปรึกษาหรือช่วยเหลือผู้อื่นได้

"ความรู้และจิตใจต้องไปควบคู่กัน โดยเฉพาะเด็กที่เก่ง มีพรสวรรค์ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการสร้างประเทศในอนาคต" หลวงพี่สอนน้อง

 

โดย : ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

ที่มา : นสพ. กรุงเทพธุรกิจ

 

                           *************************** 

 

ประโยคทิ้งท้าย :


‘หลวงพ่อปราโมทย์’

 

ชีวิตเราในโลกนี้ มันก็มีแต่ความเจริญแล้วก็เสื่อม

 

มีลาภ แล้วเสื่อมลาภ

มียศ แล้วเสื่อมยศ

มีสรรเสริญ ก็มีนินทา

มีสุข แล้วต้องมีทุกข์

 

ไม่มีใครหนีพ้น แม้แต่พระพุทธเจ้า

มีลาภยศ สรรเสริญ สุขอย่างเดียว ไม่มีเสื่อมลาภเสื่อมยศ

นินทา ทุกข์ นี้ เป็นไปไม่ได้ เพราะในโลกนี้มีแต่การเปลี่ยนแปลง

ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเรานี้ เป็นของชั่วคราว ถ้าเรายอมรับความเป็น

จริงตรงนี้ได้...เราจะไม่ทุกข์

 

     การปฏิบัติธรรม ก็คือ การมาเรียนรู้ความจริงของชีวิต เราไม่ต้องไปเรียนที่อื่น เรามาเรียนที่ตัวเอง ที่กาย ที่ใจนี่แหละ สำคัญที่สุด เพราะเวลามีลาภ ใครมีลาภ ก็ “เรา” นี่แหละที่มีลาภแล้วตอนเสื่อมลาภ ใครเสื่อม ? ก็ “เรา” เสื่อมลาภ มียศ ก็“เรา” มียศ เวลายศเสื่อม ใครหละที่เสื่อมจากยศ ก็“เรา” เองนั่นหละ เวลามีคนนินทา นินทาใคร นินทา“เรา” สรรเสริญใคร ก็ สรรเสริญ“เรา” นี่แหละ มีความสุข ใครสุข ก็ “เรา” สุข มีความทุกข์ ใครทุกข์ ก็“เรา” อีกนั่นแหละที่ทุกข์ ถ้าเรามาเรียนความจริง จนกระทั่งเห็นความจริงว่า มันไม่มีเราหรอก ถ้าไม่มี “เรา” ก็ไม่มีใคร เสื่อมลาภ ยศ นินทา ทุกข์ ...ทุกข์  นั้นมีอยู่ แต่ไม่เกี่ยวกับเรา เพราะไม่มี “เรา”

                ************************