หนังสือ มหัศจรรย์แห่ง ไข่ไก่

& และน้ำส้มสายชูหมัก

รักษา 100 โรค

เรียบเรียงโดย ชาตรี แซ่บ้าง

 

http://yaamata.blogspot.com/2012/02/100-1.html 
 

--------------------------------------------------

 

คำนำ

ชนชาติจีนมีประวัติยาวนานมากว่า 5,000 ปี และสมุนไพรจีนก็มีบทบาทสำคัญยิ่งสำหรับชีวิตและสุขภาพของชาวจีน น้ำส้มสายชูและไข่ไก่ นอกจากจะนำมาประกอบอาหารที่ขาดไม่ได้แล้ว คนจีนยังนำมาใช้ในการรักษาโรคต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย เพราะว่าหาง่ายและราคาถูก ปลอดภัยและที่สำคัญได้ผลสำเร็จเป็นอย่างดี

“น้ำส้มสายชูและไข่ไก่รักษาโรค” เล่มนี้ เรียบเรียงมาจากตำรายารักษาโรคของชาวจีนที่มีมาอย่างยาวนานและผ่านการใช้รักษาผู้ป่วยมาอย่างเห็นผล พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนมาแล้ว ในหนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอสูตรเกี่ยวกับการรักษาโรคโดยใช้น้ำส้มสายชูและไข่ไก่ไว้มากมายหลายสูตร ซึ่งถือว่าเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งสำหรับผู้ที่สนใจที่จะนำไปทดลองปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะปัจจุบันที่คนส่วนใหญ่ประสบกับโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ มากมาย ทั้งโรคที่เกิดจากการรับประทานอาหารผิดสุขลักษณะ โรคเกิดจากสภาพแวดล้อมที่วิกฤต แม้กระทั่งโรคที่เกิดจากความเครียดต่าง ๆ อีกด้วย การรักษาด้วยสูตรไข่และน้ำส้มสายชูนี้ นอกจากจะทำได้โดยง่าย ค่าใช้จ่ายถูกประหยัดแล้ว ยังปลอดภัยต่อผู้ที่รับประทานอีกด้วย

สำหรับเล่มนี้เป็นเล่มที่ 1 ได้รวบรวมสูตรที่ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับ ระบบทางเดินหายใจ ระบบย่อยอาหาร ระบบไหลเวียนโลหิต โรคทางพันธุกรรม โรคติดต่อต่าง ๆ และโรคเกี่ยวกับระบบประสาท เป็นต้น ซึ่งหากเล่มนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ที่สนใจแล้ว ทางผู้เรียบเรียงจะจัดทำเล่มสองอีกต่อไป ซึ่งในเล่มสองนั้น จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรคด้านศัลยกรรม โรคกระดูก โรคผิวหนัง โรคเกี่ยวกับสุภาพสตรี โรคเด็ก และโรค ปาก หู คอ จมูก เป็นต้น

การจัดทำหนังสือเล่มนี้ เพื่อประโยชน์สำหรับท่านที่สนใจ สามารถนำไปทดลองปฏิบัติได้ด้วยตนเอง หากท่านใดที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านนี้ ทางผู้เรียบเรียงและทางสำนักพิมพ์ฯ ยินดีรับคำแนะนำเพิ่มเติม และขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้

                                                           ด้วยความปรารถนาดี

                                                                ชาตรี  แซ่บ้าง

 

 

 

น้ำส้มสายชู

 

ส่วนประกอบของน้ำส้มสายชู

น้ำส้มสายชูที่เราใช้บริโภค มีส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับร่างกายมากมาย เช่น กรดอะมิโน ซึ่งเป็นสารพื้นฐานของโปรตีนก็มีมากชนิด รวมทั้ง 8 ชนิดที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ ต้องมาจากอาหาร ยังมีสารประเภทน้ำตาล เช่น น้ำตาลองุ่น น้ำตาลผลไม้ น้ำตาลจากหน่ออ่อนของข้าวสาลี ซึ่งเป็นพลังงานที่สำคัญของร่างกาย และยังมีเกลืออนินทรีย์อีกหลายชนิด

สารเหล่านี้สำคัญมากในการเติบโตของร่างกาย และชะลอความแก่ชรา และขาดมิได้สำหรับระบบการเปลี่ยนถ่ายเซลล์ของร่างกาย

 

คุณประโยชน์ของน้ำส้มสายชู

เป็นเครื่องปรุงอาหารที่ขาดมิได้สำหรับอาหารแต่ละมื้อ

เติมลงไปในกับข้าว สามารถขจัดรสคาวและความมันที่มากเกินไป สามารถทำให้กับข้าวมีสีสวย รสหอมและอร่อยขึ้น และยังสามารถรักษาสรรพคุณ ในการบำรุงร่างกายไม่ให้เสื่อมลง

ยังสามารถละลายสลายแคลเซี่ยมในอาหาร เพื่อให้ร่างกายดูดรับได้ง่าย

ใช้น้ำส้มสายชูแช่อาหาร สามารถเพิ่มรสชาติของอาหาร และยังป้องกันการบูดเสียของอาหารได้ด้วย

ใช้น้ำส้มสายชูคนกับผักดิบที่สะอาด ทำให้มีรสชาติอร่อยน่ารับประทาน

ทางด้านยา

น้ำส้มสายชูก็มีประโยชน์มาก สามารถสลายลิ่มเลือดเป็นก้อนแข็งในร่างกาย แก้พิษ ช่วยย่อยอาหาร ช่วยเจริญอาหาร สลายไอน้ำในร่างกาย รักษาความเจ็บปวดจากเลือดลมในท้องและหัวใจ รักษาการเมาจากเลือดหลังคลอด ละลายเสมหะ รักษาโรคดีซ่าน ปากลิ้นเป็นแผล เลือดก้อนจากอาการบาดเจ็บ ขจัดหนอนในธัญพืช ปลา เนื้อ ผัก ฯลฯ คนจีนเอามารักษาคางอักเสบ หรือคางคูม เกลื้อน พยาธิในท่อตับ แก้แมลงพิษกัด รักษาอาการปวดเอว ฯลฯ

ใช้น้ำส้มสายชูแช่เมล็ดถั่วลิสง สามารถรักษาความดันโลหิตสูงและลดคอเลสเตอรอลได้

น้ำส้มสายชู ยังสามารถฆ่าเชื้อโรค และป้องกันโรคติดต่อในลำไส้

ใช้น้ำส้มสายชูแช่ดองยาจีน สามารถเพิ่มสรรพคุณของยา และเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคของยาได้

นอกจากนั้น น้ำส้มสายชู ยังรักษาอาการเมาค้างได้ รักษาอาการท้องผูกได้ รักษาโรคเบาหวานได้ ดื่มน้ำส้มสายชูบ่อย ๆ ทำให้พลังงานในร่างกายดีขึ้น ร่างกายแข็งแรง มีประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ

 

ทางด้านเสริมสวย

น้ำส้มสายชู ยังมีบทบาทในการกระตุ้นให้ผิวหนังอ่อนนุ่มให้หลอดเลือดขยายตัว เพิ่มความไหลเวียนของเลือดบริเวณผิวหนัง และยังสามารถฆ่าเชื้อโรคบนผิวหนังได้ ทำให้ผิวหนังเกลี้ยงนุ่ม

ปัจจุบันน้ำส้มสายชู ยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้น จากการใช้ปรุงอาหารอย่างเดียว ค่อย ๆ กลายเป็นอาหารที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง และส่วนประกอบของยาในการรักษาโรค เป็นต้น

 

สรรพคุณในการรักษาโรค และการใช้

สรรพคุณ และการรักษาโรคที่สำคัญคือ

สลายก้อนเลือด ระงับเลือด แก้พิษ ฆ่าหนอน ความสามารถในการรักษาโรค ที่สำคัญคือ รักษาการเมาเลือดหลังคลอด โรคดีซ่าน เหงื่อเหลือง อาเจียนเป็นเลือด เลือดออกจากจมูก อุจจาระเป็นเลือด ปวดท้องจากมีพยาธิ อาการคันของอวัยวะเพศภายนอก เป็นฝีแผลบวม พิษจากปลาสด เนื้อ ผัก ฯลฯ

วิธีใช้ และปริมาณในการใช้

รับประทาน โดยใส่ลงในยาน้ำ หรือคนผสมกับยา เป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ ใช้ผสมกับน้ำดื่มครั้งละ 1 ถ้วยเหล้าเล็ก ๆ

ใช้ภายนอก เผาให้ร้อน อบอาการเหม็น ใช้บ้วนปาก ผสมกับยาทาภายนอก

ข้อควรระวังในการใช้น้ำส้มสายชู

1. ผู้เป็นโรคกระเพาะ และโรคเกี่ยวกับเส้นเอ็น โรคอาการหนาวจากภายนอก เริ่มแรก ไม่เหมาะในการรับประทานจะต้องระวังในการรับประทาน เพราะว่า ความเปรี้ยวเป็นผลเสียต่อเอ็น ข้อ กระเพาะ ม้าม

2. ถึงแม้ว่าน้ำส้มสายชูจะมีสรรพคุณมากมาย แต่ในการใช้รับประทานประจำวัน ไม่ควรใช้เกินปริมาณ โดยทั่วไปผู้ใหญ่วันหนึ่ง 20-40 มิลลิลิตร อย่างมากสุด ไม่เกิน 100 มิลลิลิตร ผู้สูงอายุ คนที่ร่างกายอ่อนแอ สตรี เด็ก คนป่วย ต้องลดปริมาณในการรับประทาน ตามสภาพร่างกายของตนเอง บางคนรับประทานน้ำส้มสายชูปริมาณมาก เพื่อรักษาโรคนั้นไม่ถูกต้อง ดังนั้น การรับประทานน้ำส้มสายชูเพื่อรักษาโรคควรดำเนินไปอย่างวิทยาศาสตร์และเหมาะสม อย่ารีบร้อนเพื่อให้ได้ผลเร็ว เริ่มแรกควรดื่มปริมาณน้อย เพื่อทดลอง หลังจากรับประทานน้ำส้มสายชูแล้วต้องบ้วนปาก เพื่อไม่ให้มันไปทำลายฟัน

3. ใช้น้ำส้มสายชูปรุงอาหาร ต้องใช้กระทะเหล็ก อย่าใช้กระทะอลูมิเนียม และกระทะทองเหลืองทองแดง เพราะว่าการใช้กระทะเหล็กปรุงอาหารธาตุเหล็กก็จะละลายลงไปในน้ำ หากใส่น้ำส้มสายชูเป็นเครื่องปรุง ปริมาณธาตุเหล็กที่ละลายออกมาก็จะเพิ่มมากขึ้น มีประโยชน์ในการป้องกันและรักษาอาการโลหิตจาง และการขาดธาตุเหล็กได้ แต่หากใช้กระทะอะลูมิเนียมปรุงอาหาร ใส่น้ำส้มสายชูไม่ได้เพราะน้ำส้มสายชูจะทำให้อะลูมิเนียมละลายออกมามากกว่าเดิม ร่างกายเรา หากสะสมอะลูมิเนียมมากเกินไป จะทำลายความเคลื่อนไหวของระบบขับถ่ายบางอย่างลง ทำให้ประสิทธิภาพการย่อยอาหารไม่ปกติ อีกทั้งยังทำให้องค์ประกอบของสมองได้รับความเสียหาย กระทบกับการพัฒนาด้านสติปัญญา โดยเฉพาะระบบประสาท อาจได้รับความเสียหายร้ายแรงได้

น้ำส้มสายชูยังใส่ในกระทะทองเหลืองทองแดงปรุงอาหารไม่ได้ เนื่องจากน้ำส้มสายชูสามารถละลายสารประกอบของทองเหลืองทองแดงได้ หากรับประทานเข้าไปอาจเกิดพิษต่อร่างกายได้

4. ฤดูที่อากาศร้อนมาก น้ำส้มสายชูอาจจะเกิดเชื้อราหรืออาจมีหนอนเกิดขึ้นได้ ดังนั้นหากนำมาใช้ควรจะต้มด้วยอุณหภูมิประมาณ 72 องศาเซลเซียส ประมาณ 5-10 นาที แล้วกรองเอากากออก ก็สามารถนำมาใช้ได้ตามปกติ

 

วิธีการเก็บรักษาไม่ให้น้ำส้มสายชูเสีย

1. ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย

2. หยดน้ำมันงาลงบนผิวของน้ำส้มสายชูเพื่อเคลือบผิวไว้

3. ใส่กระเทียม 2-3 กลีบ ลงไปในขวดน้ำส้มสายชู

           

ไข่ไก่

ไข่ไก่ ถึงแม้จะมีขนาดเล็ก แต่มีสรรพคุณมากมายทั้งทางอาหารและทางการรักษาโรค ซึ่งถือได้ว่าเป็นความแปลกมหัศจรรย์อยู่พอสมควร ความมหัศจรรย์ของไข่ เนื่องจากว่าไข่กำเนิดขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิต และเป็นจุดกำเนิดของชีวิตใหม่ มีความสัมพันธ์กับจิตอารมณ์และเลือดเนื้อ แฝงไว้ด้วยพลังแห่งชีวิต ดังนั้นจึงมีประโยชน์ต่อผู้ที่บริโภคเป็นอย่างมาก เหนือกว่าการรับประทานพืชผักซึ่งไม่มีด้านพลังจิตและอารมณ์

 

ส่วนประกอบของไข่

ไข่ไก่มีส่วนประกอบด้านโภชนาการที่สมบูรณ์ มีโปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ อนินทรีย์ รวมทั้งสารที่มีส่วนของการหมักย่อยสลาย สารอาหารเหล่านี้มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย ทำให้สุขภาพแข็งแรงและอายุยืนนาน

โปรตีนของไข่ไก่ เป็นโปรตีนที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับโปรตีนจากอาหารชนิดอื่น ๆ ดังนั้น โปรตีนจากไข่ไก่จึงถูกกำหนดให้เป็นค่ามาตรฐานของโปรตีนจากธาตุอาหารชนิดอื่น ๆ อีกด้วย

อาหารที่มีส่วนประกอบของโปรตีนต่ำเช่น ธัญพืช เนื้อปลา ฯลฯ หากรับประทานร่วมกับไข่ไก่ จะเป็นการเสริมซึ่งกันและกันได้ดี ยกระดับการใช้โปรตีนของร่างกายให้สูงขึ้น เช่น การรับประทานอาหารที่ขาดกรดอะมิโน หรืออาหารที่มีโปรตีน คุณภาพต่ำ แต่หากรับประทานร่วมกับไข่ไก่ ก็สามารถส่งเสริมกัน ทำให้กลายเป็นโปรตีนมีคุณภาพได้ ไข่สามารถตอบสนองต่อความต้องการพลังในการเสริมสร้างเซลล์ในร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ไข่ไก่และอาหารประเภทเนื้อสัตว์ในปริมาณที่เท่ากัน แต่คุณค่าในการเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอของร่างกายแตกต่างกันมาก ซึ่งไข่สามารถเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอของทางร่างกายได้ดีกว่าเนื้อสัตว์หลายเท่าตัว อีกทั้งไข่ยังมีราคาถูก ดังนั้นควรส่งเสริมให้มีการรับประทานไข่เพิ่มมากยิ่งขึ้น

ไข่มีปริมาณไขมันประมาณ 10 % ส่วนใหญ่อยู่ในไข่แดง ส่วนไข่ขาวเกือบจะไม่มีไขมันอยู่เลย ส่วนประกอบของไขมันในไข่ไก่ คือฟอสฟอรัส และคอเลสเตอรอล ฟอสฟอรัสเป็นส่วนประกอบหลักของไข่แดง มีบทบาทต่อการฟักไข่เป็นตัว สิ่งที่ฟอสฟอรัสถูกแยกออกเมื่อรับประทานเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะมีบทบาทหรือมีคุณสมบัติในการป้องกันและเสริมสร้าง สมรรถนะของร่างกาย ทำให้ชะลอความแก่ชราลงได้

คอเลสเตอรอล เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกายอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งร่างกายไม่สามารถที่จะผลิตออกมาใช้ได้อย่างเพียงพอ ดังนั้น จึงอาศัยการรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของคอเลสเตอรอล เพิ่มเติม ถึง 1 ใน 3 ส่วน

บทบาทของคอเลสเตอรอล มีดังต่อไปนี้

คอเลสเตอรอล มีบทบาทในการเสริมสร้างฮอร์โมนเพศชาย วิตามินและน้ำดี ฮอร์โมนเพศชายและวิตามินดี มีบทบาทสำคัญในด้านการเจริญเติบโตของระบบสืบพันธุ์  น้ำดีมีบทบาทในการย่อยสลายไขมัน เพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยและดูดซึมไขมันของลำไส้เล็ก นอกจากนั้น คอเลสเตอรอลยังมีบทบาทในการป้องกันไม่ให้เม็ดโลหิตแดงถูกทำลายได้โดยง่าย และทำให้ผนังหลอดเลือดมีความแข็งแรงไม่แตกได้ง่าย แต่หากคอเลสเตอรอลเกาะสะสมที่ผนังหลอดเลือดมากจนเกินไป จะทำให้เส้นโลหิตแดงเกิดความแข็ง หากหลอดเลือดไม่แข็งแรงพอ ก็จะทำให้หลอดเลือดแตกได้เหมือนกัน เป็นโรคเลือดออกในสมอง ซึ่งจะส่งผลต่อความพิการของร่างกายได้ สุภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า “สิ่งต่าง ๆ ไม่มีดีและเลวเสมอไป หากมีมากไปก็จะเป็นภัย” น้ำสามารถให้เรือเดินทางได้ แต่ขณะเดียวกันก็สามารถให้เรือล่มได้เหมือนกัน” ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเน้นถึงความเหมาะสมด้วย

ในชีวิตประจำวัน หากไม่รับสารคอเลสเตอรอลมากจนเกินไป ไม่เพียงไม่น่ากลัวแล้ว ยังมีความจำเป็นอีกด้วย เพียงแต่ต้องระมัดระวัง ในการรับสารอาหารแต่ละอย่างให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างร่างกายและยังสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้

ในไข่ไก่ มีวิตามินสะสมอยู่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะวิตามินเอ และ บี 2 อยู่ในไข่แดง ส่วนในไข่ขาวก็มีวิตามินบี 2 อยู่เล็กน้อย วิตามินเป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นในการฟักไข่ให้เป็นตัวอ่อน และยังเป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ในระบบของการเกิดขึ้นและย่อยสลายของเซลล์ในร่างกาย ดังนั้น มนุษย์จึงมีความต้องการวิตามินในปริมาณที่เหมาะสม หากวันหนึ่งเรารับประทานไข่ 2 ฟอง ก็สามารถรับวิตามินเอได้ 50% ต่อวัน และวิตามิน บี 2 ตามสัดส่วน

เหล็กในเกลืออนินทรีย์ ทั้งหมดสะสมอยู่ในไข่แดง ธาตุเหล็กในร่างกายมีบทบาทในการสร้างเซลล์เม็ดเลือด และเป็นตัวนำพาออกซิเจนเข้าไปหมุนเวียนในระบบโลหิต ซึ่งมีความสำคัญต่อการสร้างเสริมสุขภาพ ร่างกายของมนุษย์ หากร่างกายขาดธาตุเหล็กก็จะทำให้เป็นโรคโลหิตจางได้

ในไข่ไก่ยังมีสารฟอสฟอรัส ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นกรดฟอสเฟตที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งเป็นสารที่ขาดไม่ได้ในการให้พลังงานและคงไว้ซึ่งความสมดุลภายในร่างกาย นอกจากนั้นยังมีแคลเซี่ยม โปแตสเซียม สารโซเดียม ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างเซลล์ในร่างกาย

ในไข่ขาวของไข่ไก่ยังมีกรดชนิดหนึ่ง ซึ่งมีบทบาทในการย่อยสลายแบคทีเรีย เปลือกของไข่ไก่มีรูพรุนมากมาย สามารถให้อากาศผ่านเข้าออกได้ ถึงแม้เชื้อแบคทีเรียจะสามารถผ่านเข้าไปในไข่ไก่ตามรูพรุนนี้ได้ แต่เมื่อเจอกรดที่สามารถย่อยสลายแบคทีเรียได้ จึงทำให้ไข่ไม่ถูกทำลายและสามารถอยู่ได้นาน ไข่ไก่ที่ต้มสุกทำให้บูดเสียง่ายเนื่องจากกรดในไข่ถูกทำลายลงด้วยความร้อน

นอกจากนั้น กรดดังกล่าวยังสามารถระงับโรคอันเกิดจากเพศสัมพันธ์ที่มีขนาดเล็กได้ รวมทั้งยังสามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ  ได้อีกด้วย

 

วิธีคัดเลือกและเก็บรักษาความสดของไข่ไก่

วิธีคัดเลือกไข่ไก่

ไข่ไก่เมื่อใช้เป็นสูตรยารักษาโรค ควรเลือกไข่สด ไข่แดงที่แตกกระจายแล้วไม่ควรใช้ ไข่ที่บูดเสียหรือเปลี่ยนสภาพห้ามนำมาใช้เด็ดขาด

วิธีเลือกซื้อไข่สดจากตลาด โดยทั่วไปจะดูจากภายนอกหรือใช้แสงตรวจ ไข่สดข้างบนเปลือกจะมีละอองคล้ายหมอก ไข่จะสมบูรณ์ ไม่มีรอยแตกหรือรอยจุดจากเชื้อรา มีเงาเกลี้ยง หากใช้มือจับแล้วส่องแสงไฟ หรือทางพระอาทิตย์ ไข่ทั้งฟองจะมีสีแดงอ่อน มองไม่เห็นไข่แดง หรือมองเห็นเป็นเงาดำเล็กน้อย หรือใช้วิธีนำไข่ใส่ลงในน้ำเกลือ ไข่สดจะจมน้ำ ส่วนไข่ไม่สดจะลอยน้ำ

การรักษาไข่สด

1. ฝังไข่ไว้ในเกลือ จะสามารถเก็บได้นานไม่เสียง่าย

2. เอาด้านแหลมของไข่ลงด้านล่าง แล้วเอาไข่ฝังในขี้เถ้าหญ้า

3. ใช้วาสลีนหรือพาราฟินทาบนเปลือกไข่ สามารถป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเข้าไปในไข่ได้

4. เอาไข่สดใส่ลงแช่ในน้ำด่างสักครู่ นำเอาขึ้นมาผึ่งไว้ สามารถป้องกันแมลงแทะกัด หรือแบคทีเรียเข้าไปได้ สามารถเก็บได้ 2-3 เดือน ไม่เสีย

5. เอาดินสอพอง 50 กรัม และน้ำสะอาด 1,000 มิลลิเมตร ผสมน้ำให้เข้ากันแล้วเทใส่ลงในไห แล้วใส่ไข่สดลงไป สามารถเก็บรักษาไข่สดได้ประมาณครึ่งปีไม่เสีย

6. เอาทรายเหลืองที่ร่อนแล้วตากให้แห้งสนิท เอาไข่ฝังไว้ในทรายหนึ่งเดือนพลิกไข่ 1 ครั้ง สามารถเก็บรักษาไข่ไก่ได้ 3-4 เดือน ไม่เสีย

7. เอาไข่สดใส่ในช่องแช่เย็นของตู้เย็น สามารถเก็บรักษาความสดได้ 2 เดือน

8. เอาน้ำมันที่ทำอาหารทาลงบนไข่ สามารถป้องกันแบคทีเรียเข้าไป ในฤดูร้อนสามารถเก็บรักษาไข่ไก่ได้ประมาณ 1 เดือน

9. เอาไข่ลวกลงไปในน้ำร้อน 90-100 องศาเซลเซียส 5-7 วินาที แล้วเอาขึ้นตากแห้ง เอาไว้ในที่แห้งลมโกรก สามารถเก็บรักษาไข่ได้ 2 เดือน

 

สูตรน้ำส้มสายชูกับไข่ไก่

สูตรน้ำส้มสายชูกับไข่ไก่ ต้องเลือกไข่ที่สุด แช่ลงในน้ำส้มสายชู ไข่ 1 ฟอง ต่อน้ำส้มสายชู 100-180 มิลลิลตร แช่เป็นเวลานาน 48 ชั่วโมง แล้วทุบไข่ให้แตก แช่ไว้อีก 24 ชั่วโมง แล้วนำเอามาดื่ม ซึ่งเป็นวิธีผลิตยาอาหารบำรุงที่วิเศษอีกอย่างหนึ่ง

ในการผลิตสูตรนี้ น้ำส้มสายชูต้องเลือกคุณภาพดี ประมาณกรดน้ำส้ม 9 % ไม่มีสี หากไม่มีปริมาณกรดระบุไว้ ก็ให้เลือกเอาที่คุณภาพเชื่อถือได้ แต่เวลาแช่ไข่อาจจะนานมากขึ้น ทั้งนี้ให้สังเกตว่าเปลือกไข่อ่อนตัวหรือนุ่มลง ถือว่าใช้ได้แล้ว

สูตรน้ำส้มสายชูกับไข่ ถือว่าเป็นอาหารบำรุงร่างกายอย่างหนึ่ง ไม่ขัดกันกับตัวยาชนิดอื่น เวลาที่รับประทานยารักษาโรคประจำอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องระงับการใช้แต่อย่างใด ในระหว่างการดื่มนั้น หากไม่มีผลข้างเคียง สามารถดื่มติดต่อกันนาน ๆ ได้ ไม่มีผลเสียหายใด ๆ ดื่มได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

น้ำส้มสายชูและไข่ไก่ เมื่อได้นำมาปฏิบัติตามสูตรแล้ว ไม่เพียงแต่มีผลต่อการบำรุงร่างกายและการรักษาโรคด้วยน้ำส้มสายชูและไข่ไก่ได้ดีเท่านั้น ไข่เมื่อทำปฏิกิริยากับน้ำส้มสายชูแล้ว โมเลกุลจะแตกหักเป็นโมเลกุลที่เล็กลง ฟอสฟาไทด์และแร่ธาตุชนิดอื่น ๆ จะแตกตัวออก ทำให้ลำไส้ดูดซึมได้ง่ายยิ่งขึ้น

ไข่ขาวเป็นส่วนประกอบที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง นอกจากจะมีกรดที่สลายแบคทีเรียที่สมบูรณ์แล้วยังมีสารต่อต้านมะเร็งอีกด้วย เมื่อนำไข่ขาวลงแช่ในน้ำส้มสายชูแล้ว โมเลกุลของไข่ขาวจะแตกแยก ขนาดเล็กลง สารกรดสลายแบคทีเรียและสารต่อต้านมะเร็ง ก็จะแพร่กระจายออกมา ซึ่งมีประโยชน์ในการรักษาโรค

เปลือกไข่เมื่อแช่น้ำส้มสายชูแล้วจะอ่อนนิ่มแยกละลายกลายเป็นแคลเซียม กรดน้ำส้มสายชูละลายในน้ำได้ง่าย แคลเซียมสามารถให้ลำไส้เล็กดูดซึมเข้าไปได้ง่าย แคลเซียมมีบทบาททำให้กระดูกเจริญเติบโต และยังสามารถป้องกันและรักษาโรคความดันโลหิตสูงได้อีกด้วย

สรุปแล้วน้ำส้มสายชูกับไข่ไก่ สามารถปรับสมดุลในร่างกาย แก้ไขและยกระดับระบบการเกิดและย่อยสลายของเซลล์นร่างกายให้ดีขึ้น เพิ่มความแข็งแรงของร่างกายเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายให้ดียิ่งขึ้น

โรคที่รักษาแล้วเห็นผลชัดเจนได้แก่โรค ความดันโลหิตสูง โรคที่เกิดจากหลอดเลือดอุดตันในสมอง โรคหลอดลมอักเสบ โรคปวดเมื่อย นอนไม่หลับ โรคท้องผูก กระเพาะอาหารหย่อนคล้อย โรคไหล่อักเสบ โรคเบาหวาน ฯลฯ

โรคที่ตอบสนองต่อการรักษา ได้แก่ โรคลำไส้อักเสบ โรคเลือดไปเลี้ยงสมองและหัวใจไม่เพียงพอ โรคปวดประสาท โรคประสาทอ่อน โรคเส้นโลหิตแดงแข็ง โรคอาการเหงื่อออกมาก ไตอักเสบผิวหนังอักเสบ โรคกระดูกงอก ปากมีกลิ่นเหม็น ฯลฯ จนกระทั่งโรคที่เป็นเรื้อรังรักษาไม่หาย เมื่อได้ดื่มน้ำส้มสายชูผสมไข่ไก่แล้ว ก็ทำให้อาการดีขึ้น จนถึงขั้นหายขาดในเวลาอีกไม่นาน

- การดอง 8 ฟอง หมายถึง จำนวนที่มากที่สุดในแต่ละครั้งครับ
ไม่อย่างนั้นมันจะเสียซะก่อนที่จะทานหมดครับ
เราจะพลิกแพลงการดอง โดยใส่ไว้ในแก้ว แก้วละฟองก็ได้ครับ
และการดองนั้นต้องให้น้ำส้มท่วมไข่ครับ ไม่อย่างนั้นมันจะขึ้นราครับ
จุดประสงค์ก็มีเท่านั้นครับ
- ยังไงเกิดเป็นคนก็ต้องสู้ครับ ผมทำทุกวิถีทางเพื่อให้สุขภาพดีขึ้น
ทั้งทานอาหารที่เป็นประโยชน์ งดอาหารที่เป็นโทษ และออกกำลังกาย
ควบคู่กับหาเภสัช(ยา) ที่ผลิตจากธรรมชาติ มาใช้กับตัวเองครับ
เอ้อ และผมก็ตั้งใจไม่ให้ผิดศีล 5 ด้วย พระท่านสอนมา
ท่านบอกว่า เราเจ็บป่วยก็เพราะว่าทำผิดศีลข้อ 1 มา
ทั้งในอดีตและชาติปัจจุบัน
- แต่ก่อนผมก็มีโรคประจำตัว ตอนเด็กเป็นหอบหืด
ต้องเข้าโรงพยาบาลทุกปี โตมาก็ทุเลาลงหน่อย
แต่ก็มักเป็นหวัดทุกครั้งที่่มีการเปลี่ยนฤดู
แต่เมื่อผมได้หันมาใช้ยาอมตะ(คือยาที่ผมแนะนำในบล็อกนี้)
ผมลองใช้ดะหมด ทุกวันนี้ก็ทานเพียงนมบัวหิมะธิเบต
ก็ไม่เป็นหวัดเลย แม้แต่คนใกล้ชิดจะเป็นหวัดเราก็ไม่ติด
เพราะภูมิต้านทานของเราดีครับ
- ถ้ามีอะไรเพิ่มเติม ก็แสดงความเห็นไว้ที่บทความ
"รายงานผลการทานไข่ดองน้ำส้มสายชูหมัก" ดีกว่านะครับ
ตรงนั้นเพื่อนเยอะดีครับ

น้ำส้มสายชูหมักที่เหลือจากการดองน่าจะนำไปทิ้งมากกว่าห้ามนำไปใช้ต่อ เพราะของเสียในไข่ถูกดึงออกมาทิ้งด้วยนำส้มนี้ จากที่ได้อ่านมาหลายฉบับ และถ้าจะนำไปรดน้ำต้นไม้เห็นบอกว่าต้องผสมในอัตราส่วน 1 ต่อ 100 หรือไงถ้าจำไม่ผิด เนื่องจากความเข้มข้นของน้ำส้มนี้ต้นไม้อาจตายได้ ทุกอย่างที่บอกกล่าวนั้นมาจากบทความที่มีคนตอบไว้

ลืมไปการกินไข่ที่ดองกับน้ำส้มสายชูหมักนั้นบางรายอาจเกิดอาการร้อนในด้วย เกิดแผลในปาก เห็นเขาแนะนำให้กินยาขมชนิดเม็ดตราใบห่อแก้ร้อนในด้วย กำลังจะเริ่มกินไข่ดองน้ำส้มสายชูหมักในวันฟฤหัสนี้เพราะดองครบ5วันมี8ฟองในขวดโหล ไม่รู้จะไปรอดไหม แต่เพื่อสุขภาพที่ดีก็จะต้องพยายาม เวลากินเขาบอกให้ใส่ซอสแมกกี้นิดหน่อยพอ ตามด้วยพริกไทย ส่วนไข่แดงถ้าแข็งก็คงหั่นครึ่งแล้วยกซดรวดเดียวตามด้วยมะนาวหรือสไปร์ วางแผนไว้เช่นนั้น

http://yaamata.blogspot.com/2012/02/blog-post.html 

 



          ไข่ดิบดองน้ำส้มสายชูหมักเป็นตำรายาโบราณของจีนในสมัยพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ ได้สืบทอดต่อมาจนถึงบัดนี้ได้เผยแพร่ไปทั่วแถบเอเชีย และในหมู่ชาวจีน ในประเทศอเมริกาผู้นำตำรามาเผยแพร่คนแรกได้นำยามาทานเอง และแนะนำให้เพื่อนฝูงทานด้วยได้ผลดีเหมือนปาฏิหารย์สามารถรักษาโรคได้หลายโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคของผู้สูงอายุ ผู้เผยแพร่ทานยา ไปแล้วกว่า 100 ฟองได้ผลดีเหมือนอย่างหนังกำลังภายใน สังเกตจากการเดินขึ้นบันได จะไม่เหนื่อยเหมือนแต่ก่อน เพราะหัวใจจะแข็งแรงมากเป็นพิเศษ



สรรพคุณ :

รักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ (โรคหัวใจ) เลือดข้นและเหนียวเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตต่ำ ลดไขมันในเลือด (ทั้งคลอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์) ไทรอยด์ อัมพฤกษ์หรืออัมพาตอันเนื่องจากเส้นเลือดในสมองตีบ ละลายหินปูน อาการเมื่อยชา ตึง ปวดและบวมตามร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณด้านหน้าและด้านหลัง ปวดเข่าปวดหลัง ขาไม่มีเรื่ยวแรง (ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากหินปูนที่งอกพอกกระดูกสันหลังเบียดหรือทับเส้นประสาท)โรคข้ออักเสบ เช่นข้อนิ้วมือแข็งแรงและงอไม่ลงเป็นต้น ไหล่ติดอาการหน้ามืดบ่อยๆ หมดความรู้สึกทางเพศ ทำให้หลอดเลือดสะอาดเลือดหมุนเวียนได้สะดวก สร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ไม่เกิดสิว แผลสดจะหายเร็วกว่าปกติ ใบหน้าอ่อนวัย แข็งแรงกว่าเดิมเป็นยารักษาโรคครอบจักรวาล สำหรับผู้สูงอายุ 40 ปีขึ้นไปไม่มีผลข้างเคียงเพราะมาจากธรรมชาติสุดแสนประหยัด สามารถทำได้เอง และได้ผลอย่างแท้จริง



วิธีการทำไข่ดิบดองน้ำส้มสายหมัก

ตัวยา/อุปกรณ์ ที่ใช้ :

1.  น้ำส้มสายชูหมัก หมักมีสีคล้ายกับสีของน้ำชาอ่อนไม่ใสเหมือนสีของน้ำส้มสายชูกลั่น ซึ่งเป็นสารเคมี น้ำส้มสายชูหมักที่ใช้ต้องมีกรดน้ำส้มอยู่ประมาณร้อยละ 4.2 ถึง 4.5% น้ำส้มสายชูหมักที่นิยมนำมาดองไข่ในตอนนี้เป็นยี่ห้อ ไดมอนด์ มีขายที่ฟู้ดแลนด์ มีหลายสาขาในกรุงเทพฯ

2.   ไข่ไก่สดใหม่ 8 ฟอง ต่อน้ำส้มสายชูหมัก 1 ขวด (ไข่ไก่ขนาดเล็กเบอร์ 3 หรือ เบอร์ 4 จะเหมาะที่สุด)ห้ามแช่เย็นมาก่อน ถ้าใช้ไข่จะเน่าเสียทั้งหมด

3.   โหลแก้วเท่านั้น จำนวน 2 ใบเพื่อให้การทานยาต่อเนื่อง เลือกขนาดโหลที่พอดี อย่าให้ไข่ซ้อนกันเกิน 2 ชั้น ถ้าซ้อนกันมาก ไข่มีโอกาสแตกได้ถ้าไม่มีโหลอาจใช้ถ้วยแก้วดองไข่เพียงครั้งละ 5-8 ฟองแทนก็ได้บางคนก็ดองใส่แก้วๆละฟอง  อันนี้แล้วแต่ความเหมาะสมที่จะพลิกแพลงเอา



การเตรียมยา

1.   เช็ดผิวไข่ให้ สะอาด อาจแช่น้ำหรือขัดในน้ำให้สะอาดเบาๆเช็ดให้แห้งนำไปเรียงในโหลแก้ว เทน้ำส้มสายชูโดยให้น้ำสายส้มชูท่วมไข่  เมื่อแช่ทีแรกจะเห็นฟองก๊าซผุดขึ้นมาตามเปลือกไข่

2.   ไข่จะนิ่มทั้งฟองภายในหนึ่งหรือสองวัน และไม่ควรปิดฝาให้แน่นในช่วงนี้ เพื่อให้แก๊สที่เกิดระบายสู่บรรยากาศได้โดยง่าย หลังจากนั้นค่อยปิดฝาขวดโหล  เมื่อ ทิ้งไว้นาน  4-5 วันเต็มจะสังเกตเห็นไข่จะขยายตัวใหญ่ขึ้น แต่บางทีก็ต้องดองถึง 10 วัน จะช้าจะเร็วนั้นขึ้นอยู่กับความข้มข้นของกรดในน้ำส้มด้วย เมื่อดองไข่ได้ที่แล้วให้นำไข่ออกมารับประทานวันละ 1 ฟองจนหมดจึงทิ้งน้ำส้ม ทานติดต่อกันไปจึงจะได้ผล





รูปแสดงการเตรียมยา

 

ไข่ที่กำลังดอง

 






 





การรับประทานยา

1.    นำไข่ซึ่งนิ่ม 1 ฟอง เปิดน้ำประปาล้างไข่พร้อมใช้นิ้วลูบเปลือกไข่เบาๆเปลือกไข่จะยุ่ยหลุดออกมาเหมือนแป้งจนเกือบหมดเหลือเพียงเยื่อใสๆซึ่งหุ้มไข่ขาวและไข่แดงอยู่ภายใน นำไข่ใส่แก้ว เจาะเยื่อหุ้มไข่ (วางไข่ในแก้ว ป้องกัน ไข่กระเด็น แล้วใช้ไม้จิ้มฟันเจาะเอาเยื้อหุ้มไข่ทิ้ง)นำไข่แดงและไข่ขาวมารับประทานหลังอาหารเช้า วันละ 1 ฟอง ห้ามทานตอนท้องว่างถ้ารับประทานยากให้ผสมน้ำผึ้งก็ได้แต่ผสมกับน้ำเชื่อมจะคล้ายบัวลอยทานง่ายที่สุด ห้ามทำให้สุกเด็ดขาด น้ำส้มจะเสื่อมสภาพ

2.    หลังรับประทานแล้วให้ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดาให้มากๆทั้งวันเพื่อระบายท้องเสียหลังทานยาห้ามดื่มน้ำเย็นทันทีเพราะอาจทำให้คลื่นไส้ได้  ถ้าหายดีแล้วควรทานเป็นประจำ แต่ลดยาลงเหลืออาทิตย์ละ 2-3 ฟอง(ทุกครั้งที่ทานยาห้ามนอนทันทีแต่ควรทำอะไรไปพลางก่อนเพื่อให้ยาเดินสำคัญมาก) การทานหลังอาหารมื้อเช้าประมาณ 10-15 นาที จะดีที่สุดแล้วทานน้ำมะนาวหรือของเปรี้ยวอื่นๆ ชิ้นเล็กๆ ตบท้าย จะช่วยให้รู้สึกดีมากมีน้อยมากที่จะพบเฉพาะบางท่านเท่านั้น ที่รับประทานยาติดต่อกันหลายวันอาจมีอาการร้อนใน เช่น ปากเป็นเม็ด ริมฝีปากแห้ง หรือมีขี้ตา เป็นต้นควรหยุดทานยาชั่วคราว แล้วแก้อาการร้อนในด้วยการรับประทาน ยาเขียวตราใบห่อชนิดระบายอ่อน ในบางกรณีอาการปวดหรือชาอาจมากขึ้นภายในหนึ่งหรือสองวันให้อดทนรับประทานต่อไป ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอาการจะดีขึ้น เห็นได้ชัดเนื่องจากเป็นช่วงยาออกฤทธิ์ใหม่ๆขับอาการของโรคออกแล้วจะรู้สึกดีขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะผู้ที่กำลังป่วยอยู่

 

 

ประวัติและการวิเคราะห์การทำงานของยา

1.    ผู้มีอาการเสี่ยงต่อการช๊อก ได้แก่โรคหัวใจ (เจ็บแปลบๆ ปวดจี๊ดสาเหตุ เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเพราะเส้นเลือดฝอยตีบ) , ผู้ที่เคยผ่าตัดหัวใจ (ทำบายพาสมาแล้วแต่เป็นซ้ำอีก) , หัวใจโต , ผู้มีน้ำตาลในเลือดสูงมากถึงขึ้นต้องฉีดอินซูลิน , ผู้มีความดันโลหิตสูงเส้นเลือดฝอยมีโอกาสเปราะแตกอาจเสียชีวิตได้ทุกเมื่ออาการเสี่ยงเหล่านี้จะหมดไปอย่างรวดเร็วในทันทีที่เริ่มทานไข่ดองน้ำส้มสายชูหมักซึ่งจะรู้สึกได้เอง ยิ่งสามารถทานต่อเนื่องได้ทุกวันผู้ป่วยจะรู้สึกได้เองว่ายานี้ได้ผลดีจริงในระยะเวลาที่เร็วมากอีกทั้งน้ำส้มสายชูหมักมีวิตามินซีสูงมากทำให้เส้นเลือดเหนียวและเปราะแตกได้ยากมาก

2.    สำหรับผู้ป่วยที่มีผลการตรวจขอแพทย์เป็นตัวเลขยืนยันชัดเจนเมื่อทานยาติดกันประมาณ 30 ฟอง แล้วไปให้แพทย์เจาะเลือดผลปรากฎว่าระดับน้ำตาล , ความดัน , ครอเรสเตอรอล ไตรกรีเซอร์ไรด์จะลดลงใกล้เคียงปกติทุกคน ยังไม่เคยมีใครทานยานี้แล้วไม่ได้ผลเพียงแต่ต้องทำยาให้ถูกต้อง และทานยาให้ต่อเนื่องจึงจะถูกวิธีโดยผู้ป่วยทุกรายยืนยันเองได้ผลจริง และได้ผลเร็วเกินคาด

3.    โรคต่างๆ ที่เกิดจากหินปูนกดทับเส้นประสาทควบคุมการเคลื่อนไหว ได้แก่อาการเมื่อย ชา ปวด บวม ข้อและเข่าอักเสบ ไหล่ติดนิ้วมือเท้าแข็ง ตับ ไตไทรอยด์ นอนไม่หลับ ฯลฯ รักษาได้ผลดีรวดเร็วมาก เพราะน้ำส้มจะละลายหินปูนตามข้อต่างๆ รวมทั้งนิ่วและในไตน้ำส้มจะทำให้เส้นประสาทสั่งการจากสมองทำงานได้สมบูรณ์ด้วยการทำความสะอาดเส้นเลือดฝอยทุกเส้น ทำให้เลือดเดินได้สะดวก อวัยวะต่างๆ เช่น ตับ ตับอ่อนไต หัวใจ ม้าม ฯลฯ ก็สามารถฟื้นตัวทำงานได้ปกติโดยอาศัยความสามารถของไข่ไก่เป็นตัวพาน้ำส้มไปทำความสะอาดผนังหลอดเลือดในรูปของสารอาหารเพราะน้ำส้มสายชูหมักถือเป็นสิ่งแปลกปลอมทางร่างกาย รับประทานโดยตรงร่างกายจะไม่ดูดซึมและขับออกทั้งหมดทางปัสสาวะจึงไม่สามารถใช้ประโยชน์โดยตรงได้

4.    น้ำส้มสายชูหมักในไข่ไก่จะละลายหินปูนและทำความสะอาดผนังทางหลอดเลือดทั่วร่างกายแม้แต่ในกระดูกตั้งแต่เส้นเลือดใหญ่จนถึงเส้นเลือดฝอยอย่างละเอียดทำให้ปัญหาในการอุดตันในเส้นเลือดฝอยที่เป็นเส้นประสาทสั่งการสำคัญๆ สะอาดเลือดไหลเวียนสะดวก ทำให้ยานี้รักษาโรคอัมพฤกษ์และอัมพาตหายและได้ผลจริงโดยหลักการที่ว่าเมื่อหลอดเลือดสะอาดจะทำให้เซลล์เนื้อเยื่อทั่วร่างกายฟื้นตัวกลับสู่ปกติเพราะได้รับสารอาหารและออกซิเจนจากเลือดอย่างพอเพียงและทั่วถึงและดึงของเสียที่เกิดจากการใช้งานของเซลล์กลับออกมาทำให้ปราศจากเซลล์เสียในร่างกายเท่ากับการป้องกันและยับยั้งการเกิดการขยายตัวของเซลล์มะเร็งโดยอัตโนมัติ ทานยานี้เป็นประจำจะช่วยป้องกันและรักษาโรคได้ทุกชนิดดังกล่าวมานับว่าเป็นยาอายุวัฒนะที่มีสรรพคุณวิเศษต่อมวลมนุษย์อย่างแท้จริงเพราะราคาถูกทำเองได้ง่ายๆไม่ต้องทานยาแผนปัจจุบันที่เป็นสารเคมีและราคาแพงไปตลอดชีวิตแต่อาการทรงตัวไม่สามารถหายขาดได้และยังมีผลข้างเคียงติดตามมาเป็นอันตรายต่อตับและไตอย่างมาก

 

·       ท่าน อ.ศักดา วัชรินทร์กร ที่ชมรมแพทย์แผนไทยก้าวหน้า มีผลวิจัยเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป
         หาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหนังสือ " ไข่+น้ำส้มสายชูรักษา โรค "ตามแผงเซเว่นหรือ ซีเอ็ดบุ๊ค

 



ประเภทของน้ำส้มสายชู

น้ำส้มสายชู แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่

1 . น้ำส้มสายชูหมัก คือน้ำส้มสายชูที่ได้จากการหมัก เมล็ดธัญพืช เช่น ข้าว  ข้าวโพด ผลไม้ เช่น สับปะรด แอ๊ปเปิ้ล หรือ น้ำตาล กากน้ำตาล

                การผลิตน้ำส้มสายชูหมัก เป็นการหมัก สองขั้นตอน คือ การหมักน้ำตาล ให้เกิดแอลกอฮอล์โดยใช้ยีสต์ ตามด้วยการหมักแอลกอฮอล์ให้เกิดกรดอะซิด้วยแบคทีเรียในกลุ่ม อะซิโตแบ็คเตอร์ และ กลูคูโนแบ็คเตอร์น้ำส้มสายชูที่หมัก จะใส ไม่มีตะกอน ยกเว้นตะกอนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีกลิ่นหอมตามกลิ่นของวัตถุดิบ มี รสชาติดี มีรสหวานของน้ำตาลที่ และมีปริมาณกรดน้ำส้ม (กรดอะซิติก) ไม่น้อยกว่า 4%
2.
น้ำส้มสายชูกลั่น เป็น ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำเอทธิลอัลกอฮอล์กลั่นเจือจางมาหมักกับเชื้อน้ำส้มสายชู หรือเมื่อหมักแล้วนำไปกลั่น หรือได้จากการนำน้ำส้มสายชูหมักมากลั่น น้ำส้มสายชูกลั่นจะต้องมีลักษณะใส ไม่มีตะกอนและมีปริมาณกรดน้ำส้มไม่น้อยกว่า 4%

3. น้ำส้มสายชูเทียม เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำเอากรดน้ำส้ม (Acetic acid) ซึ่งสังเคราะห์ขึ้นทางเคมี เป็นกรดอินทรีย์มี ฤทธิ์เป็นกรดอ่อนมีความเข้มข้นประมาณ 95% มาเจือจางจนได้ปริมาณกรด 4 - 7% ลักษณะใส ไม่มีสี




น้ำส้มสายชูหมักตราไดมอนด์

 

สรรพคุณของน้ำส้มสายชูหมัก

น้ำส้มสายชูหมัก หรือที่ฝรั่งเรียกว่า ไวเนกร้า ที่เรามักเห็นบ่อย ๆ คือ แอปเปิ้ลไซเดอร์ ซึ่งมีขายทั่วไปในยุโรป อเริกา และที่ญี่ปุ่น ส่วนเมืองไทยก็มีบ้างประปราย ก็คือน้ำส้มสายชูหมักที่ทำจากผลแอปเปิ้ลนั่นเองซึ่งโดยปกติจะมีรสเปรี้ยวจัด การรับประทานส่วนใหญ่จึงนิยมนำมาผสมน้ำผึ้ง เจือจางด้วยน้ำสะอาด เพื่อกลบรสชาติ และจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะ สรรพคุณของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลมีมากมาย ได้แก่ ช่วยในระบบย่อยและดูดซึมอาหาร ทำให้การขับถ่ายเป็นปกติ ช่วยล้างทางเดินอาหารและกระเพาะให้สะอาด ล้างสารพิษในร่างกาย ช่วยปรับระดับกรด-เบสในร่างกายให้สมดุล บรรเทาอาการปวดศีรษะ ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ ป้องกันโรคโลหิตจาง ช่วยบรรเทาอาหารปวดกล้ามเนื้อและปวดข้อ ช่วยให้ระบบปัสสาวะเป็นปกติ บำรุงสายตา ช่วยลดน้ำหนักได้ ใช้ทาผิวรักษาผิวพรรณ ช่วยให้ความจำดีขึ้น แก้ผมแตกปลาย กำจัดรังแค และอาการคันศีรษะ รักษาโรคความดันโลหิตสูง และยังใช้แช่ผักที่มีสารตกค้างได้อีกด้วย ส่วนในบ้านเราซึ่งได้ชื่อว่าแดนสุวรรณภูมิ ถึงแม้จะไม่สามารถปลูกแอปเปิ้ลได้ แต่สามารถหาผลิตภัณฑ์อื่นมาทำน้ำส้มสายชูหมักได้ง่าย  ๆ และคุณค่าไม่ได้ด้อยไปกว่า ของฝรั่งเลย ดังที่นิยมทำกันก็มี กล้วย อ้อย น้ำมะพร้าว ข้าว สับปะรด  ข้าวโพด

 

http://www.healthupdatetoday.com/product/detail-13052.html  

'วีเนก้า'เครื่องปรุงรสขนานเอกจากธรรมชาติ ที่เรารู้จักกันนานหลายสิบปี แต่เพิ่งมาดังช่วงนี้ในรูปแบบของการดีท็อกซ์

วีเนก้า'เครื่องปรุงรสขนานเอกจากธรรมชาติ ที่เรารู้จักกันนานหลายสิบปี แต่เพิ่งมาดังช่วงนี้ในรูปแบบของการดีท็อกซ์
 
            บางคนอาจจะสงสัยว่า วีเนก้า ( Vinegar) คืออะไร ตามพจนานุกรม คือน้ำส้มสายชูใช้เป็นเครื่องปรุงรสอาหาร อาทิ ก๋วยเตี๋ยว  ข้าวขาหมู รวมทั้งเป็นส่วนผสมของน้ำจิ้มหลายชนิด เช่นน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ  ผลิตได้จากธรรมชาติ และการสังเคราะห์ทางเคมี มีองค์ประกอบที่สำคัญ คือกรดน้ำส้ม(Acetic acid)มีสมบัติให้รสเปรี้ยว และสามารถใช้ถนอมอาหารโดยไม่มีพิษต่อร่างกาย
 
             สมัย ก่อนกระบวนการผลิตน้ำส้มสายชูเกิดจากการหมักธัญพืช ผลไม้ น้ำตาลกับส่าเหล้า(ยีสต์)แล้วหมักกับเชื้อน้ำส้มสายชูตามกรรมวิธีธรรมชาติ การหมักจะเปลี่ยนน้ำตาลที่มีอยู่ในอาหารเหล่านี้ให้เป็นเอธิลแอลกอฮอล์โดย อาศัย ยีสต์ที่มีตามธรรมชาติ เพื่อให้น้ำส้มสายชูที่หมักมีกลิ่นหอมและร
สชาติดี จากนั้นจะอาศัยแบคทีเรียตามธรรมชาติเพื่อเปลี่ยนเอธิลแอลกอฮอล์ให้เป็นกรด น้ำส้ม
              ปัจจุบัน น้ำส้มสายชูที่ได้รับความนิยมคือน้ำส้มสายชูหมักจะมีสีเหลืองอ่อนตาม ธรรมชาติ มีรสหวานของน้ำตาลที่ตกค้างมีกลิ่นของวัตถุดิบที่ใช้ในการหมัก ความแตกต่างในด้านกลิ่นรสและความเข้มข้นขึ้นอยู่กับชนิดของวัตถุดิบที่ใช้ใน การหมัก ถือเป็นเสน่ห์เฉพาะตัว น้ำส้มสายชูหมักจะใส มีสีเหลืองอ่อน ไม่มีตะกอน ยกเว้นตะกอนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และมีปริมาณกรดน้ำส้มไม่น้อยกว่า 4%ซึ่งกระบวนการหมักบ่มรสชาติคล้ายคลึงกับไวน์ แต่ปราศจากเอธิลแอลกอฮอล์ ส่วนน้ำส้มสายชูกลั่นจะใสไม่มีสี มีกลิ่นรสที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่สามารถนำมาดื่มได้

            น้ำส้มสายชูหมักที่รู้จักกันดีคือ น้ำส้มสายชูที่หมักจากข้าว (Rice vinegar) มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่นใช้ผสมในข้าวปั้น  ส่วนน้ำส้มสายชูหมักจากผลไม้ ตัวอย่างเช่น น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล (Apple cider vinegar) มาจากประเทศยุโรป นอกจากนี้ยังทำมาจากองุ่น  มอลต์  บัลซามิก มะพร้าว ปาล์ม  อ้อย องุ่นแห้ง อินทผลัม  เบียร์  สมุนไพร          
            เจ้าวีเนก้า  มี ความน่าสนใจ ตรงไหนกัน ถึงทำให้กลุ่มคนรักสุขภาพยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อหาน้ำส้มสายชูหมักชนิด ต่างๆ ซึ่งมีทั้งที่ผลิตภายในประเทศและนำเข้ามาจากต่างประเทศ แม้กระทั่งห้างขนาดใหญ่ยอมเจียดพื้นที่ขายให้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวกันที เดียว  เราลองมาดูข้อมูลที่ระบุถึงเหตุผลที่ควรรับประทานวีเนก้า กันดีกว่า
 
             นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์  ได้นำเสนอ บทความเรื่อง 'Health benefitsof vinegar' ในเว็บไซต์'howstuffworks'  ที่กล่าวถึง ประโยชน์ต่อสุขภาพของน้ำส้มสายชู ไว้ว่า
             
ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม
            น้ำส้มสายชูมีกรดน้ำส้ม  ซึ่งออกฤทธิ์ได้คล้ายกับกรดอินทรีย์ที่เป็นกรดอ่อนชนิดอื่น เช่น วิตามิน C
หรือกรดแอสคอร์บิคคือ ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหาร เช่น แคลเซียม ธาตุเหล็ก ฯลฯ
 
- ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
น้ำส้มสายชูช่วยลดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดได้   ใน คนบางคน กลไกที่เป็นไปได้ คือ กรดในน้ำส้มสายชูไปทำให้เอนไซม์ที่เป็นน้ำย่อย คาร์โบไฮเดรต (อาหารกลุ่มข้าว-แป้ง-น้ำตาล) ทำงานได้น้อยลง  ผลคือ ทำให้การย่อยอาหารช้าลง ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นช้าลงหรือลดลงช้าลง ทำให้อิ่มนานขึ้น กลไกนี้อาจช่วยให้คนลดความอ้วนได้พวกนี้ด้วย  ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะใช้น้ำส้มสายชูในการป้องกันเบาหวาน หรือกินก่อนอาหารมื้อใหญ่ในคนทั่วไป
           
- ใช้แทนไขมันที่ไม่ดีกับสุขภาพและเกลือโซเดียม
 
            การ ใช้น้ำส้มสายชูปรุงรสอาหารช่วยลดการใช้เกลือโซเดียม เช่น ซอส น้ำปลา ฯลฯ และช่วยลดการใช้ไขมัน เช่น ทำสลัดน้ำใสสูตรน้ำส้มสายชูแทนสลัดน้ำข้น
                นอกจากนั้น ยังช่วยกำจัดกรด แลคติค ที่เกิดหลังการทำงานหนัก ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย กล้ามเมื่อยล้า  เนื้อเคลื่อนไหวช้าเกิดอารมณ์ผันผวน ฉุนเฉียวง่าย ภาวะเช่นนี้ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรค
การ ดื่มน้ำสัมสายชูหมักจะทำให้ภาวะเลือดเป็นกรดที่เกิดจากคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง ซึ่งจะทำให้ตับทำงานน้อยลง น้ำส้มสายชูหมักจึงเปรียบเป็นโอสถทิพย์จากธรรมชาติขนานแท้ที่ช่วยบำบัดร่าง กายให้กลับมาอยู่ในภาวะสมดุล
จึงไม่น่าแปลกเมื่อ 2,000 ปีก่อนวีเนก้าถูกนำไปใช้เป็น ยารักษาโรค หลากหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างในอิตาลี เวลาที่มีคนเป็นลมใช้วีเนก้ามาสูดดมเพราะมีกลิ่นฉุน ต่อมาจึงถูกนำไปใช้ปรุงอาหารในเมนูต่างๆ ของอาหารยุโรปแทบทุกจานก็ว่าได้  

ที่มา bangkokbiznew

 

'วีเนก้า'เครื่องปรุงรสขนานเอกจากธรรมชาติ ที่เรารู้จักกันนานหลายสิบปี แต่เพิ่งมาดังช่วงนี้ในรูปแบบของการดีท็อกซ์

'วีเนก้า'เครื่องปรุงรสขนานเอกจากธรรมชาติ ที่เรารู้จักกันนานหลายสิบปี แต่เพิ่งมาดังช่วงนี้ในรูปแบบของการดีท็อกซ์
            บางคนอาจจะสงสัยว่า วีเนก้า ( Vinegar) คืออะไร ตามพจนานุกรม คือน้ำส้มสายชูใช้เป็นเครื่องปรุงรสอาหาร อาทิ ก๋วยเตี๋ยว  ข้าวขาหมู รวมทั้งเป็นส่วนผสมของน้ำจิ้มหลายชนิด เช่นน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ  ผลิตได้จากธรรมชาติ และการสังเคราะห์ทางเคมี มีองค์ประกอบที่สำคัญ คือกรดน้ำส้ม(Acetic acid)มีสมบัติให้รสเปรี้ยว และสามารถใช้ถนอมอาหารโดยไม่มีพิษต่อร่างกาย
             สมัย ก่อนกระบวนการผลิตน้ำส้มสายชูเกิดจากการหมักธัญพืช ผลไม้ น้ำตาลกับส่าเหล้า(ยีสต์)แล้วหมักกับเชื้อน้ำส้มสายชูตามกรรมวิธีธรรมชาติ การหมักจะเปลี่ยนน้ำตาลที่มีอยู่ในอาหารเหล่านี้ให้เป็นเอธิลแอลกอฮอล์โดย อาศัย ยีสต์ที่มีตามธรรมชาติ เพื่อให้น้ำส้มสายชูที่หมักมีกลิ่นหอมและรสชาติดี จากนั้นจะอาศัยแบคทีเรียตามธรรมชาติเพื่อเปลี่ยนเอธิลแอลกอฮอล์ให้เป็นกรด น้ำส้ม
             ปัจจุบัน น้ำส้มสายชูที่ได้รับความนิยมคือน้ำส้มสายชูหมักจะมีสีเหลืองอ่อนตาม ธรรมชาติ มีรสหวานของน้ำตาลที่ตกค้างมีกลิ่นของวัตถุดิบที่ใช้ในการหมัก ความแตกต่างในด้านกลิ่นรสและความเข้มข้นขึ้นอยู่กับชนิดของวัตถุดิบที่ใช้ใน การหมัก ถือเป็นเสน่ห์เฉพาะตัว น้ำส้มสายชูหมักจะใส มีสีเหลืองอ่อน ไม่มีตะกอน ยกเว้นตะกอนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และมีปริมาณกรดน้ำส้มไม่น้อยกว่า 4%ซึ่งกระบวนการหมักบ่มรสชาติคล้ายคลึงกับไวน์ แต่ปราศจากเอธิลแอลกอฮอล์ ส่วนน้ำส้มสายชูกลั่นจะใสไม่มีสี มีกลิ่นรสที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่สามารถนำมาดื่มได้
            น้ำส้มสายชูหมักที่รู้จักกันดีคือ น้ำส้มสายชูที่หมักจากข้าว (Rice vinegar) มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่นใช้ผสมในข้าวปั้น  ส่วนน้ำส้มสายชูหมักจากผลไม้ ตัวอย่างเช่น น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล (Apple cider vinegar) มาจากประเทศยุโรป นอกจากนี้ยังทำมาจากองุ่น  มอลต์  บัลซามิก มะพร้าว ปาล์ม  อ้อย องุ่นแห้ง อินทผลัม  เบียร์  สมุนไพร        
            เจ้าวีเนก้า  มี ความน่าสนใจ ตรงไหนกัน ถึงทำให้กลุ่มคนรักสุขภาพยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อหาน้ำส้มสายชูหมักชนิด ต่างๆ ซึ่งมีทั้งที่ผลิตภายในประเทศและนำเข้ามาจากต่างประเทศ แม้กระทั่งห้างขนาดใหญ่ยอมเจียดพื้นที่ขายให้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวกันที เดียว  เราลองมาดูข้อมูลที่ระบุถึงเหตุผลที่ควรรับประทานวีเนก้า กันดีกว่า
             นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์  ได้นำเสนอ บทความเรื่อง 'Health benefitsof vinegar' ในเว็บไซต์'howstuffworks'  ที่กล่าวถึง ประโยชน์ต่อสุขภาพของน้ำส้มสายชู ไว้ว่า
             
ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม
            น้ำส้มสายชูมีกรดน้ำส้ม  ซึ่งออกฤทธิ์ได้คล้ายกับกรดอินทรีย์ที่เป็นกรดอ่อนชนิดอื่น เช่น วิตามิน C
หรือกรดแอสคอร์บิคคือ ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหาร เช่น แคลเซียม ธาตุเหล็ก ฯลฯ 
- ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
น้ำส้มสายชูช่วยลดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดได้   ใน คนบางคน กลไกที่เป็นไปได้ คือ กรดในน้ำส้มสายชูไปทำให้เอนไซม์ที่เป็นน้ำย่อย คาร์โบไฮเดรต (อาหารกลุ่มข้าว-แป้ง-น้ำตาล) ทำงานได้น้อยลง  ผลคือ ทำให้การย่อยอาหารช้าลง ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นช้าลงหรือลดลงช้าลง ทำให้อิ่มนานขึ้น กลไกนี้อาจช่วยให้คนลดความอ้วนได้พวกนี้ด้วย  ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะใช้น้ำส้มสายชูในการป้องกันเบาหวาน หรือกินก่อนอาหารมื้อใหญ่ในคนทั่วไป           
- ใช้แทนไขมันที่ไม่ดีกับสุขภาพและเกลือโซเดียม
             การ ใช้น้ำส้มสายชูปรุงรสอาหารช่วยลดการใช้เกลือโซเดียม เช่น ซอส น้ำปลา ฯลฯ และช่วยลดการใช้ไขมัน เช่น ทำสลัดน้ำใสสูตรน้ำส้มสายชูแทนสลัดน้ำข้น
                นอกจากนั้น ยังช่วยกำจัดกรด แลคติค ที่เกิดหลังการทำงานหนัก ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย กล้ามเมื่อยล้า  เนื้อเคลื่อนไหวช้าเกิดอารมณ์ผันผวน ฉุนเฉียวง่าย ภาวะเช่นนี้ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรค
การ ดื่มน้ำสัมสายชูหมักจะทำให้ภาวะเลือดเป็นกรดที่เกิดจากคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง ซึ่งจะทำให้ตับทำงานน้อยลง น้ำส้มสายชูหมักจึงเปรียบเป็นโอสถทิพย์จากธรรมชาติขนานแท้ที่ช่วยบำบัดร่าง กายให้กลับมาอยู่ในภาวะสมดุล
จึงไม่น่าแปลกเมื่อ 2,000 ปีก่อนวีเนก้าถูกนำไปใช้เป็น ยารักษาโรค หลากหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างในอิตาลี เวลาที่มีคนเป็นลมใช้วีเนก้ามาสูดดมเพราะมีกลิ่นฉุน ต่อมาจึงถูกนำไปใช้ปรุงอาหารในเมนูต่างๆ ของอาหารยุโรปแทบทุกจานก็ว่าได้