นิราศพิมาย
 

 


วันที่สิบสอง  มิถุนา  ปีห้าหนึ่ง                         วันรำลึก  นึกถึง  คะนึงหา

ประณตนิ้ว  น้อมประนม  ก้มวันทา                 ท่านปรมา  ครูกลอน  สอนกวี

โปรดประสิทธิ์  สำฤทธิ์พร  กลอนนิราศ                        เพื่อสมบัติ  แห่งรุ่น  พูนราศรี

นิราศพิมาย  พรายพราว  เร้าฤดี                                        ด้วยบารมี  ของท่านภู่  ครูสุนทร

รุ่นที่สอง  เตรียมทหาร  สืบสานศาสน์                            บำรุงวัด  จัดผ้าป่า  ปฏิสังขรณ์

แนวพระธรรม  ตามบรม  ร่มบวร                                     พุทธันดร  เผยแพร่  แผ่กระจาย

สังฆวัตร  ปฏิบัติตาม  ความประสงค์                               เจตจำนง  จรรโลงศาสน์  จัดถวาย

ทอดผ้าป่า  สามัคคี  เมืองพิมาย                                          สาดแสงฉาย  ประกายธรรม  นำส่องทาง

 

ตะวันรุ่ง  เรืองอรุณ  เหนือขุนเขา                    คณะเรา  หวังบุญแรง  ก่อนแสงสาง

จากบรรจถรณ์  นอนสะดุ้ง  ย่ำรุ่งราง                               ไปต้นทาง  ที่กำหนด  ขึ้นรถยนต์

กองทัพบก  หกโมงครึ่ง  ถึงศูนย์กอล์ฟ                           จอดริมขอบ  รอบเรียงทาง  ข้างถนน

ที่คลับเฮาส์  มีอาหาร  อยู่ด้านบน                                     รอทุกคน  อิ่มหนำ  สำราญใจ

ท่านไพฑูรย์  นาครัตน์  ผู้จัดหา                                        ข้าวต้มปลา  โอชารส  ซดน้ำใส

ระยะผ่าน  คงนานเนิ่น  เดินด้นไกล                               เติมเต็มไว้  ไร้กังวล  หนทางยาว

รถบัสของ  กองบัญชาการ  ทหารสูงสุด                         แรงขับฉุด  รุดขึ้นเขิน  ผ่านเนินเขา

สียังคง  เขียวสด  รถของเรา                                               ครั้งก่อนเก่า  เจ้ารับใช้  ไม่เว้นวาง

เจ้ายังอยู่  คู่กองทัพ  เขาขับเคี่ยว                                        ข้าซิเปลี่ยว  เคี่ยวดวงใจ  ไห้หม่นหมาง

เจ้าจับจอง  ท่องเที่ยวสุข  ทุกเส้นทาง                              ข้าจำห่าง  ร้างเปล่าเปลี่ยว  สีเขียวไกล

ช่วยขนส่ง  เจ้าจงพา  อย่าอายเหนียม                              บรรทุกเปี่ยม  เตรียมรุ่นสอง  ต้องอาศัย

ส่งไปกลับ  ขับตลอด  อย่างปลอดภัย                               เมืองพิมาย  ได้บุญแรง  เห็นแสงธรรม

ข้าขอพึ่ง  บารมี  สีทหาร                                                     เสริมบุญทาน  สานประสงค์  สู่องค์สาม

สร้างศาลา  อุโบสถ  ให้งดงาม                                          พระอาราม  นามพิมาย  ไพรพนา

 

                ธมฺมศัลติโก  ฉายา  หลวงตาเฒ่า                       ปัจจุบันเจ้า  อาวาส  ของวัดป่า

จำเริญรอย  คล้อยธรรม  ย้ำศรัทธา                                    พระสัมมา  ทรงวิสุทธิ์  พุทธองค์

จากทหาร  ชาญชัย  เกรียงไกรยศ                                     ปรับปลงปลด  แปลงไป  กลายเป็นสงฆ์

ครอบครองผ้า  กาสาวพัสด์  สลัดทรง                              ผ่านพ้นสง  สารวัฎ  ปฏับัติธรรม

เว้นปาณา  ละเมรัย  ไกลเมถุน                                           มุ่งสู่บุญ  สูญอาบาย  หลายฉนำ

ลากรุงเทพ  เสพกุศล  พ้นห้วงกรรม                                สืบผู้นำ  ช่องชี้  หนีนิวรณ์

เปลื้องช่อดาว  พราวระยับ  ประดับบ่า                            เดินบุกป่า  ฝ่าหนองน้ำ  ถ้ำสิงขร

เพื่อพานพบ  พหูสูต  พุทธันดร                                        เรียนคำสอน  ปฏิบัติ  มนัสวี

โยมบุญมา  มารดาทองเปลว  จากเร็วรวด                        สมศักดิ์ผนวช  บวชเพิ่มพูน  บุญราศรี

อุทิศบิดร  และมารดา  ได้บารมี                                         สุขาวดี  พระศรีอารย์  นิพพานพรหม

รู้เรื่องโลก  เรียนร่ำ  ทำด็อกเตอร์                                      ยังไม่เจอ  ความจริง  สิ่งเหมาะสม

รวมสมาธิ  สติตั้ง  ย่างจงกลม                                            ดับอารมณ์  ข่มกิเลส  เขตวิญญาร์

หยุดยินดี  หนียินร้าย  ใฝ่วิเวก                                           ยศพลเอก  ปัจเจกหลง  ปลงสังขาร์

มองรูปลักษณ์  ประจักษ์แจ้ง  แห่งสัญญา                       เวทนา  หาทางรอด  ปลดปลอดเวร

 

                พอเจ็ดโมง  ล้อหมุน  นักบุญพร้อม  รถพาอ้อม  เลาะทาง  ผ่านบางเขน

คันที่หนึ่ง  นำทาง  ไม่ขวางเลน                                        คันที่สอง  จัดเจน  แล่นเลนตาม

วิภาวดี  ตีย้อนกลับ  ขับบนด่วน                                        รูปขบวน  ทวนแสงทอง  ส่องสยาม

โทลเวย์ทาง  ระหว่างผ่าน  ตระการงาม                          กรุงเทพสยาม  นามสวรรค์  ชั้นอมร

“จำนง” นับ  จำนวนนั่ง  ทั้งคันรถ                                   หน้าใสสด  หมดทุกตั่ง  นั่งสลอน

สามสิบหก  ชีวัน  ร่วมสัญจร                                             สู่นคร  เมืองธานี  ราชสีมา

แล้วพี่เกตุ  เสพสวัสดิ์  เริ่มจัดแจก                                     แกเดินแหวก  แบกถุงย่าม  ส่งน้ำท่า

ที่พันเอก  พิศิษฐ์  นำติดมา                                 เพื่อเยียวยา  ครากระหาย  ได้ลูบพุง

 

                ผ่านรังสิต  ถึงพระอินทร์  ถิ่นกำเนิด               แม่ให้เกิด  กำเนิดกาย  ในท้องทุ่ง

พ่อพาหลบ  โอบอุ้มท้อง  รองพยุง                                   จากเมืองกรุง  ราชธานี  หนีสงคราม

ตอนอยู่ไฟ  ต้องพรางไฟ  ในค่ำพลบ                              เครื่องบินรบ  โฉบถลา  น่าเกรงขาม

ทัพญี่ปุ่น  หนุนบุก  เข้ารุกลาม                                          เมืองสยาม  มิระย่อ  ต่อไพรี

เชียงรากน้อย  บ้านนอก  ออกไกลห่าง                           คลองกั้นขวาง  บางปะอิน  ถิ่นกรุงศรี

โดดดำผุด  อยุธยา  ปทุมธานี                                              ประทับชีวี  มิจืดจาง  ลบลางเลือน

 

                เพราะเป็นบุญ  หนุนนำ  กรรมตกแต่ง            มาสู่แหล่ง  เตรียมทหาร  พานพบเพื่อน

บุญเก่าจาง  สร้างบุญใหม่  ไม่แชเชือน                           เพียงพบเพื่อน  เหมือนชาตินี้  ดีถมไป

พี่น้อมฤดี  พี่สมคิด  จงพยุหะ                                            ใฝ่ธรรมมะ  เห็นกระจ่าง  สว่างใส

เป็นพุทธมา  มะกะ  สะอาดใจ                                          เปี่ยมฤทัย  ไปด้วยกัน  สรรสร้างบุญ

 

เสียงอนนท์  พ่นสนั่น  ลั่นไปหมด                  กลบเสียงรถ  บดลูกล้อ  ที่กลอหมุน

พี่มาลิน  ฟังชินหู  ดูพ่อคุณ                                                ไม่เฉียวฉุน  ไม่หุนหัน  ฉันใจเย็น

ต่างตื่นตา  ตื่นใจ  ในทิวทัศน์                                            ธรรมชาติ  จัดไว้  ให้ได้เห็น

ดังสวรรค์  ท่านประทาน  บันดาลเป็น                            แอร์ฉ่ำเย็น  ช่างเป็นใจ  ให้อาวรณ์

 

                ถึงวังน้อย  น้อยหวัง  นั่งครวญคิด                    ยอดมิ่งมิตร  พี่ผิดหวัง  แต่ครั้งก่อน

ริมวังน้ำ  คร่ำครวญ  หวนอาวรณ์                                     รักแคลนคลอน  อ่อนอารมณ์  จมวังวน

นึกวันนั้น  ที่วังน้อย  พี่คอยน้อง                                      เคล้าประคอง  น้องเจ้า  ใต้เงาสน

วิหคถลา  หมู่ปลาว่าย  ในสายชล                                     สองกมล  กุศลร้าง  วังน้อยครวญ

โค้งบัวชม  ลมไสว  ใจเป็นแผล                                        ถึงหนองแค  แผลไม่หาย  จิตไห้หวน

หยิบลำโพง  “จำนง” ขยาย  ใช้รบกวน                           กล่าวทบทวน  ชวนรับนิด  สมจิตต์ โพธิ์กราน

หลงภวังค์  นั่งเหม่อลอย  รถคล้อยเคลื่อน                      อยู่ใกล้เพื่อน  เหมือนกับอยู่  หมู่ทหาร

เข้าหลักสูตร  นักเรียนเสธ  เกร่ดูงาน                              พอตื่นฝัน  หลุดภวังค์  นั่งเย็นชา

 

                ถึงหินกอง  มองหา  ไม่เห็นหิน                        หลบกองดิน  กองทราย  อยู่ไหนหนา

กองใจพี่  ที่ว่างเปล่า  ร้าวอุรา                                            กองน้ำตา  รินหยาดหยด  หลั่งรดกอง

เคยสะสม  บ่มสนอง  เป็นกองรัก                                     พอไกลจาก  เจ้าหมุนเวียน  เปลี่ยนเจ้าของ

หินที่หนัก  แน่นแน่  ย่อมแพ้ทอง                                    ถึงหินกอง  ต้องสิ้นล้า  เศร้าอารมณ์

ผ่านพระบาท  พุทธฉาย  อยากคลายทุกข์                        จะหาสุข  ทางไหน  ได้เหมาะสม

ติดภวังค์  ยังมิขาด  ทาสอารมณ์                                        จึงระทม  ปวดร้าว  ทั้งเช้าเย็น

โลกใบนี้  ดีปนชั่ว  ตัวใครเล่า                                           แฝงตัวเรา  เงามืดอยู่  ดูไม่เห็น

เมินสมุทัย  ปล่อยให้ทุกข์  คลุกเคล้าเป็น                         ซุกซ่อนเล้น  นิโรธมรรค  ยากคลี่คลาย

 

                เร่งสร้างบุญ  ให้สูญบาป  สิ่งหยาบช้า            ภายภาคหน้า  อย่าผัดผ่อน  ก่อนจะสาย

สร้างหิริ  โอตัปปะ  ละอาบาย                                           ชำระกาย  ใจพิสุทธิ์  ด้วยพุทธัง

สระบุรี  มีรถถัง  ครั้งเคยฝึก                                               ใจยังคึก  นึกถึงม้า  ข้าขี่หลัง

พาวิ่งเรียบ  วิ่งโขยก  อกแทบพัง                                       ตกจากหลัง  สลัดอาน  จะพานบวม

 

ควบรถถัง  สั่งแนวรบ  โอบตีเจาะ                                    ยิงเจาะเกราะ  เหมาะที่หมาย  สลายร่วม

ข้าศึกไหน  เผชิญหน้า  ระอาอวม                                    อำนาจรวม  สวมพลัง  ตั้งฐานยิง

ยอดทหารม้า  อาชาไนย  ใจแน่วแน่                                ถึงจะแก่  ถึงจะเก่า  เขาก็สิงห์

ประดุจเพชร  เด็ดเดี่ยว  เปลี่ยวกระทิง                             หยุดไม่นิ่ง  วิ่งไม่แพ้  แม้แก่วัย

 

                สระบุรี  เลี้ยวขวา  ฝ่ามิตรภาพ                          จากพื้นราบ  ขึ้นพนา  ป่าไศล

เลาะลดเลี้ยว  เขียวขจี  สิวิลัย                                             โยงสายใย  เชื่อมอีสาน  อันเรืองรอง

สร้างสมัย  จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์                 กรุณาจัด  แบบเศรษฐกิจ  คิดสนอง

ชนชาติไทย  ไร้วิตก  การปกครอง                                   ปูครรลอง  มองการณ์ไกล  ให้บ้านเมือง

 

                ครั้งที่หนึ่ง  ปั๊มน้ำมัน  สองคันเลี้ยว หยุดประเดี๋ยว  เสียวท้องไส้  ชักได้เรื่อง

ต่างชำระ  สะสาง  สิ่งคางเคือง                                         น้ำขาวเหลือง  ปะปน  ทั้งข้นจาง

แถวคิวยาว  เข้าไปรุม  เป็นกลุ่มใหญ่                               เดินเรียงราย  จึงได้รู้  ผู้ใดบ้าง

คันที่สอง  สามสิบห้า  มาร่วมทาง                                     ต่างคนต่าง  รีบขึ้นรถ  หมดเวลา

สำรวจยอด  เสร็จสรรพ  ขับไปต่อ                                    หลังจากรอ  ขอให้ดู  ครบคู่ขา

เสียงจ๊อกแจ๊ก  จอแจ  จำนรรจา                                         รถมุ่งหน้า  หาที่หมาย  สู่ปลายทาง

 

                สระบุรี  มีแก่ง  ไม่แล้งน้ำ                                  ใยนงราม  มาแล้งใจ  ให้หม่นหมาง

หลอกพี่รอ  แทบท้อใจ  ไม่พบนาง                  รักเลือนร้าง  เหือดแห้ง  ที่แก่งคอย

จากวันนั้น  ถึงวันนี้  พี่คอยเจ้า                                          พี่หลงเฝ้า  เหงาจิต  คิดเอื้อมสอย

เพ้อพะวง  หลงใฝ่หา  ดาราลอย                                       นานก็คอย  คอยที่แก่ง  อย่าแล้งใจ

 

                พลโทเจริญ  เมินคันหลัง  มานั่งด้วย                ท่านมาช่วย  เพิ่มสุโข  โอภาศัย

เงินสี่แสน  นับซ้ำ  ชื่นฉ่ำใจ                                              คุมรายได้  จากผ้าป่า  สามัคคี

ร่อนแจกจ่าย  ใบอนุโม  ทนาบัตร                                     เงินเข้าวัด  ป่าพิมาย  ให้หลวงพี่

นั่งแถวหลัง  คุณคมกฤช  ชิดทวี                                       จ้อยพาที  กระซี้กระเซ้า  ให้เราฟัง

 

                ตามองเหม่อ  เจอมิตรภาพ  ไม่หลับใหล         ส่งดวงใจ  ให้คนงาม  ในความหลัง

วันภายหน้า  เหลือน้อย  ค่อยประทัง                               รื้อความหลัง  นั่งเงื่องหงอย  รอยราคิน

มวกเหล็กเถา  เขาทำยา  รักษาโรค                                    ชื่อน้ำตก  งามตระการ  ซ่านกระสินธุ์

ธารไหลหลาก  ฟากฟ้า  มาสู่ดิน                                       เคยได้ยิน  ปักษิณร้อง  ก้องพนา

 

เซาะเชิงชั้น  หลั่นเลาะ  เกาะแก่งห้วย                            มาลีสวย  หลากสี  ผีเสื้อถลา

ฉาบเฉี่ยวโฉบ  โอบพุ่ม  ภุมมาลา                                      พาน้องมา  มวกเหล็ก  แต่เล็กวัย

เคยเที่ยวธาร  ซ่านกระเซ็น  เป็นฟองฝอย                      เจ็ดสาวน้อย  ชื่อนั้น  นามไฉน

คงเจ็ดนาง  นวยนาด  งามบาดใจ                                      ตั้งชื่อให้  ทั้งเจ็ด  เกล็ดตำนาน

 

                ธรรมชาติ  จัดร่มรื่น  ชื่นชุ่มเจตน์                     ล่วงเข้าเขต  แดนดิน  ถิ่นอีสาน

แม่ย่าโม  ลูกตั้งใจ  ไปกราบกราน                                     รับพรท่าน  ด้วยเคารพ  นบวันทา

แดนอีสาน  ตำนานธรรม  อันล้ำเลิศ                                ถิ่นกำเนิด  วัฒนธรรม  อันล้ำค่า

ความเป็นอยู่  ทั่วไป  ท้องไร่นา                                         ทั้งดงป่า  พนาลี  เหมือนมีมนต์

ที่ราบสูง  ทุ่งกุลา  ดงป่าไม้                                 ถูกทำลาย  ย่ำยี  จนปี้ป่น

นักการบ้าน  ท่านการเมือง  เรืองอิทธิพล                       ชอบฉ้อฉล  ปล้นสิทธิ  มิคำนึง

เหลืองดอกคูณ  เสียงเป่าแคน  แดนราบสูง                    ชอนพยุง  จูงใจ  ให้คิดถึง

หลานย่าโม  โก้เก๋  เสน่ห์ตรึง                                            ลูกขอพึ่ง  ความเมตตา  คราได้เยือน

 

                ระหว่างทาง  นั่งเป็นคู่  ดูจู๋จี๋                              คนที่มี  คู่มา  ดูหน้าเหมือน

คนแยกคู่  ดูแก่  ชักแชเชือน                                              เริ่มหลงเลือน  เฟือนฟาง  นั่งเหม่อลอย

จึงขยับ  จับความ  ถามพิศิษย์                                              ไม่มัวคิด  ซึมเซา  นั่งเหงาหงอย

ร่ายนิราศ  ให้สำฤทธิ์  ประดิษฐประดอย                        ต่างเอนจอย  กันทุกคน  ไม่บ่นเลย

แต่บางคน  นั่งขรึม  คงลืมพูด                                            เป็นตามสูตร  พูดไม่ดัง  ฟังเฉย ๆ

สู้อนนท์  ไม่ได้  ซักรายเลย                                                พูดเสบย  ไม่ต้องใช้  ไมโครโฟน

 

                คิดเมื่อครา  พานาง  นิ่มนวลน้อง                     ใจละล่อง  ลิ่วลม  ชมโขดโขน

ยามไฟรัก  รุ่งโรจน์  โชติช่วงโชน                                   กลับมาโดน  น้องดับ  กลับสิ้นแรง

เห็นฟาร์มวัว  วัวตัวกลม  กลัวนมบูด                                เขารีดรูด  ดูดดอม  เจ้าผอมแห้ง

เดินเล็มหญ้า  ภาษาวัว  กลัวสิ้นแรง                 ตอนหญ้าแห้ง  เหี่ยวเฉา  เจ้าผอมโซ

แม้เป็นวัว  เป็นควาย  ในทุ่งหญ้า                                     ในบางครั้ง  มีค่า  กว่าคนโข

นมเลี้ยงเด็ก  จากเล็กวัย  จนใหญ่โต                                ชื่อว่าโค  ขุนเนื้อ  ให้เถือแกง

ถึงยังไง  ใจของสัตว์  บริสุทธิ์                                           บางมนุษย์  ใจกักขระ  ขยะแขยง

สากติดมือ  ดื้อดัน  รั้นตะแบง                                           ศีลแสลง  แสดงเท่าใด  ไม่คณา

 

                วีรยุทธ  พูดไมค์แฉ  แวะกองทัพ                      ก่อนขากลับ  รับอาหาร  กันหน่อยหนา

เติมน้ำมัน  สองคันรถ  ทดเวลา                                         เยี่ยมเคหา  สโมสร  ร่วมเริงไชย

ถึงกลางดง  พงพี  มีน้อยหน่า                                            หวานฉ่ำฉ่า  รสสดชื่น  ลื่นไถล

เขากลืนเนื้อ  เถือถุยเม็ด  ระเห็จไกล                                ถูกน้องคาย  ดังพี่  ที่ถูกลืม

น้อยหน่าหนัง  ตั้งวาง  แถวทางผ่าน                               ใครใคร่ทาน  หวานคอ  ก็พอปลื้ม

น้อยหน่าหนอน  ซอนซุก  ที่ถูกลืม                  ทิ้งเศร้าซึม  โศกไม่สร่าง  อยู่กลางดง

 

                ฟ้าพยับ  สลับแสง  สุรีย์ศรี                 เหนือคีรี  ขจีขจาย  ชวนใหลหลง

เทือกขุนเขา  เขียวใหญ่  พฤกษ์ไพรพง                           สัตว์ดำรง  พืชสลับ  งามจับตา

เป็นทางโค้ง  ลงเขา  เข้าปากช่อง                                     ปล่อยใจล่อง  ลอยไป  ในเวหา

ขออนุญาต  นมัสการ  กราบวันทา                                    ท่านหญิงโม  แม่ย่า  วีรสตรี

เข้าประตู  สู่ยังแคว้น  แดนอีสาณ                                     เป็นคมขวาน  ทองสยาม  งามสาดสี

มิได้ผ่าน  มิตรภาพ  ตราบนานปี                                       มาคราวนี้  ทัศนียภาพ  กลับเปลี่ยนแปลง

จำเริญรุ่ง  เรืองโรจน์  ชูโชติช่วง                                      ดังได้ดวง  สุรีย์  รังสีแสง

ป่าเป็นกาย  ใจเป็นน้ำ  ย้ำสำแดง                                      บุญญาแรง  แห่งสองพระองค์  วงศ์จักรี

ทุกหย่อมย่าน  อีสาณสวย  ด้วยเสกสรร                           ดังเป็นเมือง  สรวงสวรรค์  ด้วยสันสี

ทุ่งกุลา  จะยิ้มแย้ม  แช่มฤดี                                                โขงมูลชี  วิถีชน  สกลไกร

 

                ถึงลำตะคอง  คล้องสวาท  มาขาดรัก                เคยสุขนัก  พักริมคลอง  มองน้ำใส

กระแสคลื่น  กลืนเกลียวกลม  ขมขื่นใจ                          น้องจากไป  ไกลตะคอง  นองน้ำตา

ละหารหุบ  ห้วงเหว  เปลวสวรรค์                                    ทุกคืนวัน  ฝันถึง  คะนึงหา

กลับมาปลง  หลงเสน่ห์  เล่ห์มายา                                   จวบเพลา  มาล่วงลับ  เกือบดับชนม์

ทิ้งกุ้งพล่า  ปลาเผา  เจ้าพรอดพร่ำ                                    ลืมส้มตำ  ลำตะคอง  พาหมองหม่น

พี่ตะคอง  น้องเอียงอาย  ชุ่มสายชล                 หอมสุคนธ์  บนฟากฝั่ง  นั่งชมวิว

 

                เห็นทางแยก  แหวกทาง  อยู่ข้างซ้าย               อักษรป้าย  บอกชี้  ว่าสีคิ้ว

สะกดให้  ใจนักกลอน  ระร่อนปลิว                                คิดถึงคิ้ว  ดำขลับ  รับดวงตา               

มิต้องโกน  มิต้องกัน  ให้คันโค้ง                                      คิ้วเธอโก่ง  ดังวงจันทร์  แรมพรรษา

ขดขมวด  อวดโมโห  ทำโกรธา                                         แฝงมายา  รอยแย้ม  เอียงแก้มรอ

เคยพร่ำพรอด  ยอดนฤมล  จนใจเผลอ                            เคยคอยเธอ  อำเภอขาม  ทะเลสอ

ครั้งเคยเคลี้ย  คลอเคล้า  เฝ้าพะนอ                                   นานก็รอ  ขอฟังพร่ำ  ถึงค่ำเย็น

 

เทือกสลับ  ซับไซร้  ใบไม้เขียว                                         ปลดใจเปลี่ยว  เหลียวชะแง้  จึงแลเห็น

ลมโชยพัด  สะบัดใบ  ยอดไหวเอน                 เชยชมเล่น  เย็นยันรุ่ง  ทุ่งสูงเนิน

กระซิกซี้  ซอนซอก  แซะหยอกเย้า                 นิ่มนวลเจ้า  เซ้าซิก  หลีกเคอะเขิน

เสียงกระเส่า  เร่าร้อน  อ่อนใจเพลิน                               ผ่านสูงเนิน  ไม่นานนัก  ปักธงชัย

 

                ตำรวจรับ  ขับนำ  ตามถนน                               ขบวนวน  ถนนว่าง  นำทางให้

ขับตามเลี้ยว  ซ้ายขวา  มาข้างใน                                       สู่ที่หมาย  ให้วันทา  องค์ย่าโม

อนุสรณ์  สถิตสถาน  ของท่านย่า                                     เด่นสง่า  งามตระการ  ศานต์สุโข

สมาธิรวม  สรวมพลัง  ตั้งมโน                                          ท่องพุทโธ  มาโคราช  คลาดแคล้วภัย

ประณตกร  ก้มกราบ  กำซาบจิต                                        ขอสัมฤทธิ์  กลอนนิราศ  อัชฌาศัย

สว่างเทียน  ควันธูป  ลูบโลมใจ                                        ส่องประกาย  โชติช่วง  ชัชวาล

 

                แล่นผ่าเมือง  เรืองรุ่ง  ที่โคราช                         เฉลิมรัฐ  วัฒนธรรม  นำสืบสาน

ศูนย์เศรษฐกิจ  การศึกษา  มาช้านาน                               ภักษาหาร  ฐานอุดม  ดินสมบูรณ์

เขยย่าโม  โตใหญ่  นายตำรวจ                                           ท่านเช็คตรวจ  แขกที่มา  สนับสนุน

กระทะร้อน  หมี่โคราช  ผัดกองพูน                                พร้อมข้าวปุ้น  โรยน้ำยา  โอชาชิม

อันกองทัพ  ย่อมเดินไป  ได้ด้วยท้อง                               ท่านแหลมทอง  เตรียมไว้  กินให้อิ่ม

ขนมหวาน  ฝานผลไม้  แถมไอศกรีม                               อยู่บ้านริม  สุรนารายณ์  ใครไปเชิญ

ยืนไม้ต้น  บนกระถาง  ตั้งตระหง่าน                               แผ่กิ่งก้าน  กองผ้าป่า  น่าสรรเสริญ

สยายพุ่ม  แพร่กระจาย  ใบเป็นเงิน                                  แล้วอัญเชิญ  จำเริญธรรม  นำทอดบุญ

ต้องขอบใจ  ไมตรี  ที่ท่านเลี้ยง                                         รำลึกเพียง  ขุนคีรี  ไม่มีสูญ

เพื่อนอิ่มท้อง  แหลมทองยิ้ม  ด้วยอิ่มบุญ                        จะแทนคุณ  มาหลายครั้ง  ตั้งตารอ

 

                จากคฤหาสน์  ท่านแหลมทอง  ไม่ต้องเลี้ยว    ประเดี๋ยวเดียว  เลี้ยวผ่าน  ด่านจอหอ

จอดธุระ  ปะปัง  ขึ้นนั่งรอ                                 ออกจอหอ  ขอพักผ่อน  ตอนเดินทาง

พองีบพลัน  ฝันถึงน้อง   ร่วมห้องหอ                             พะเน้าพะนอ  ง้องอน  ก่อนรุ่งสาง

เจ้าอ้อล้อ  พ้อเล่น  ไม่เว้นวาง                                            อ้อนเคียงข้าง  แจ้วจ้อ  จนพอใจ

แต่บัดนี้  ที่หอห้อง  ขาดน้องนุช                                      พี่แสนสุด  โศกระกำ  ช้ำไฉน

ทิ้งดอกคูณ  สิ้นเสียงแคน  แสนอาลัย                              เหลือดวงใจ  เพียงในฝัน  อันมืดมน

 

                ทุ่งนาข้าว  เคล้านาเกลือ  เหนือโคราช            เหมือนพรมพาด  ทอดคู่  ปูถนน

แขนงแยก  แตกเครือข่าย  หลายตำบล                             สามารถวน  ไปมา  หาสู่กัน

ตลาดแค  แม้ไม่ไกล  แต่ใกล้บ่าย                                      เข้าพิมาย  ตำรวจนำ  ทำขวาหัน

ลำแม่มูล  จักราช  ไหลตัดกัน                                             ดังสวรรค์  พิมาย  ในเมืองแมน

เคยแข่งเรือ  แล่นลำ  น้ำจักราช                                         มองดื่นดาด  คนดู  เรือนหมู่แสน

บันเทิงทัพ  นาวา  มาเมืองแคน                                         ได้ขึ้นแท่น  รับถ้วย  ด้วยฝีพาย

อันแข่งบุญ  วาสนา  อย่ากำแหง                                       หากจะแข่ง  เรือแพ  พอแข่งได้

กรรมการ  ไม่ยุติธรรม  อย่าช้ำใจ                                      ส่วนบุญใคร  กรรมมัน  ท่านทำเอง

 

                ปราสาทหิน  ถิ่นใกล้  ไปวัดป่า                         เห็นหลวงตา  มารอรับ  กระฉับกระเฉง

สีเหลืองกรัด  สะบัดสยาย  ระบายระเบง                        แบบกันเอง  สังสรรค์  ตื้นตันใจ

แปดปีบวช  กรวดน้ำ  ชำระจิต                                          นิ่งสถิต  ปัฏฐาน  ญาณผ่องใส

มีญาติโยม  สู่หา  ป่าพิมาย                                  ร่มแมกไม้  สุมทุม  เป็นพุ่มเงา

ล้อมเรียงราย  เต็มศาลา  หลังคาแฝก                                บรรยายแจก  เทศนา  หลวงตาเฒ่า

นำประวัติ  จัดแสดง  แห่งเรื่องราว                                  ยกขึ้นกล่าว  ก่อนกาล  งานพิธี

ทายกเกตุ  กล่าวนำ  คำขอศีล                                             เสียงได้ยิน  ก้องป่า  พนาสี

นายอำเภอ  พิมาย  ผู้ใจดี                                                    ร่วมพิธี  ติสะระเน  นิยาจามะ

หลวงตาเฒ่า  เข้าชาน  มุ่งญาณถึง                                    นำเข้าซึ้ง  คะนึงถวิล  ศีลเบญจะ

ปลูกศรัทธา  สมาธิ  ติสรณะ                                              ตัสมา  สีรังวิ  โสทะเย

ท่านทวี  กล่าวนำ  คำถวาย                                 ผ้าป่าใหญ่  โดยพลัน  มิหันเห

โอโนชยา  มะสาธุ  โนภันเต                                             บุญทั้งเพ  อุทิศให้  ผู้วายชนม์

ให้เขียนชื่อ  ใส่ลงถัง  บังสุกุล                                          เผาเป็นจุล  มอดไหม้  ให้กุศล

ทั้งห้ารูป  พระภิกษุ สาธุมนต์                                            ขอทุกคน  ขนบุญ  ไปแบ่งทาน

ยังศาลา  อุโบสถ  ไม่แล้วเสร็จ                                           เมื่อสำเร็จ  เสร็จคาด  มาตรฐาน

ท่านธงชัย  ตั้งสติ  ปณิธาน                                                บริการ  ศัลติโก  พุทโธธรรม

 

                ต้องอำลา  หลวงตาเฒ่า  เข้ากรุงเทพฯ             ขืนมัวเสพ  ทัศนา  เกรงจะค่ำ

ท่านแหลมสั่ง  ยาวรวด  ตำรวจนำ                                    พร้อมเอ่ยคำ  บรรยาย  ให้เพื่อนฟัง

ปราสาทหิน  พิมาย  ไทรงามผ่าน                                     เห็นห้วงธาร  น้ำมูล  ล้นพูนฝั่ง

หยิบไมค์ก้อง  ร้องเพลง  บรรเลงดัง                                พวกเรานั่ง  ฟังตอไม้  พี่ตายแล้ว

 

 

 

                ร่วมเริงชัย  สุรนารี  คือที่หมาย                          วิ่งเข้าค่าย  อาศัยเบา  เป็นเถาแถว

อาหารว่าง  ตั้งรอ  จ่อเป็นแนว                                          พออิ่มแล้ว  กล่าวขอบใจ  น้องนายพล

แล้วพี่แหลม  แถมมาส่ง  ลงเจ้าสัว                                    ควักหมดตัว  ซื้อของฝาก  ที่อยากขน

หิ้วตะกร้า  จับจ่าย  เดินส่ายวน                                          ออกถนน  มุ่งหน้า  สระบุรี

ก้องสนั่น  ลั่นสำเนียง  เสียงประสาน                             เสนาะหวาน  ไปทั้งคัน  ดั้นวิถี

ยกสุนทร  กลอนนิราศ  วาดวาที                                       ละเลงสี  ลีลา  ร่าเริงรมย์

วิเชียรนรา  อนนท์  เกตุจำนง                                            วีระส่ง  ธงชัยรับ  ขับขรม

วีรพล  คนฟัง  นั่งเฝ้าชม                                                    อ่วมระบม  หนวกหู  ให้ผู้ฟัง

จวนเวลา  สิ้นสายันห์  ตะวันคล้อย                  เสียงเจื้อยจ้อย  ยินเพียง  เหมือนเสียงสังข์

นวลนารี  จักรดาว  เข้าภวังค์                                             เจาะจังงัง  นั่งมาจน  พหลโยธิน

สายฝนหลั่ง  ลงมา  เหมือนฟ้ารั่ว                                     ไม่ถือตัว  พี่สมคิด  จิตถวิล

เพลงอินโด  โอภาศัย  ให้เรายิน                                       แข่งกระสินธุ์  สายฝน  จนปลายทาง

 

                เจอตาจ้อย  คอยรับ  เตรียมกับข้าว                     ตามด้วยเหล้า  โซดา  มาภายหลัง

ไปสร้างบุญ  สูญทุกข์  สุขกันจัง                                       เสริมพลัง  สร้างศรัทธา  บารมี

พลตรีวิเชียร  เขียนนิราศ  วาดอักษร                                กรองคำกลอน  สุนทรภู่  คู่ราศรี

ยกวัดป่า  พิมาย  ในความดี                                 บทกวี  มอบแด่รุ่น  หวังบุญแรง

 

 
 


                                                                                       พลตรี             

                                                                                                     19 มิถุนายน 2551